กาซา: การใช้ความรุนแรงแบบสุ่มและการลงโทษแบบเหมารวมต้องยุติลง
พื้นที่ปาเลสไตน์ ตุลาคม 2566 © MSF
ศูนย์กาซา บาร์เซโลนา บรัสเซลส์ และปารีส วันที่ 12 ตุลาคม 2566 — องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières / Doctors Without Borders) รู้สึกตระหนกจากการกระทำของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮามาสที่ทำการสังหารหมู่พลเรือนอย่างโหดร้าย หรือการที่อิสราเอลทำการโจมตีครั้งใหญ่ในพื้นที่ฉนวนกาซา องค์การฯ ได้ประสานงานเพื่อเริ่มต้นปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งการติดต่อกับทางรัฐบาลอิสราเอลและการสนับสนุนงานทางการแพทย์ในฉนวนกาซา เราเรียกร้องให้ยุติการโจมตีโดยไม่กำหนดเป้าหมายที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดโดยทันที การสร้างพื้นที่และเส้นทางคมนาคมที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วน พวกเขาต้องสามารถเข้าถึงสิ่งจำเป็น อาทิ อาหาร น้ำอุปโภคบริโภค และสถานพยาบาลได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ อุปกรณ์สำหรับการทำงานด้านมนุษยธรรม จำพวกยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหาร น้ำมัน และน้ำอุปโภคบริโภค จะต้องได้รับอนุญาตให้ขนส่งเข้าไปในพื้นที่ฉนวนกาซา เพื่อให้สามารถดำเนินการส่งต่อความช่วยเหลือข้างต้น ชายแดนราฟาห์ (Rafah) ของประเทศอียิปต์จะต้องเปิดใช้งาน และการวางระเบิดที่จุดข้ามชายแดนจะต้องยุติลง
จากพื้นที่วิกฤติด้านมนุษยธรรมสู่โศกนาฏกรรม ณ เวลานี้ ผู้คนราว 2.2 ล้านคนติดอยู่ในฉนวนกาซา พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการทิ้งระเบิดโดยไม่กำหนดเป้าหมาย โดยเจ้าหน้าที่ขององค์การฯ มากกว่า 300 ชีวิตที่อาศัยอยู่ในกาซาบางคนสูญเสียครอบครัวหรือบ้านพักอาศัย ด้วยข้อจำกัดหลายประการ การอพยพออกจากพื้นที่เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
เครื่องบินรบกำลังทำลายถนนทีละเส้น มันไม่มีพื้นที่สำหรับการหลบซ่อน ไม่มีเวลาสำหรับการพักผ่อน สถานที่หลายแห่งถูกโจมตีด้วยระเบิดติดต่อกันหลายคืน พวกเรารู้ดีว่าในปี 2557 และปี 2564 เป็นอย่างไร มันมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน แต่ครั้งนี้สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่มันแตกต่างออกไป จากการโจมตี 5 วัน มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึง 1,200 ราย ประชาชนจะทำอย่างไรต่อไป? พวกเขาควรหลบหนีไปที่ไหนเพื่อความปลอดภัย?แมทเธียส เคนเนส หัวหน้าภารกิจในกาซา
ประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตี ไม่สามารถหาพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการอพยพ
ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กหลายล้านคนกำลังเผชิญกับการลงโทษแบบเหมารวม (collective punishment) ซึ่งมาในรูปแบบของคำสั่งปิดล้อมพื้นที่ การทิ้งระเบิดแบบไม่กำหนดเป้าหมาย และถูกรุกรานจากการสู้รบภาคพื้นดิน พื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนจะต้องเกิดขึ้น อุปกรณ์สำหรับปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมต้องได้รับคำอนุญาตให้ขนส่งเข้าไปในเขตพื้นที่กาซา ผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลและรถพยาบาลไม่ใช่เป้าหมายของการโจมตี สถานพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต้องได้รับความคุ้มครองและเคารพการทำงาน
ความขัดแย้งในครั้งนี้ไม่มีการผ่อนปรนความเข้มงวดสำหรับผู้ป่วยหรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ติดอยู่กลางการสู้รบ ทั้งที่การปิดล้อมทางทหารเป็นระยะเวลา 16 ปี ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขภายในพื้นที่กาซาอ่อนแอ การกระทำของรัฐบาลอิสราเอลในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการปิดล้อมพื้นที่ การปิดกั้นการเข้าถึงอาหาร น้ำอุปโภคบริโภค น้ำมัน และไฟฟ้า จึงเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงประชาชนในพื้นที่ เป็นการจงใจขัดขวางการขนส่งอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต การอำนวยความสะดวกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์สามารถเข้าถึงสถานพยาบาล และการเปิดเส้นทางเพื่อให้เกิดการขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์จำเป็นต้องเกิดขึ้นทันที
“ในโรงพยาบาลหลายแห่งของกระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์รายงานว่าปริมาณยาชาและยาแก้ปวดกำลังร่อยหรอ องค์การฯ ได้ขนย้ายเวชภัณฑ์จากคลังของเราไปยังโรงพยาบาลอัล อาวดา (Al-Awda) โดยมีปริมาณสำรองเพียงพอสำหรับการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 2 เดือน แต่ตอนนี้เราได้ใช้เวชภัณฑ์สำหรับ 3 สัปดาห์หมดลงแล้วภายในเวลาเพียงแค่ 3 วัน” ดาร์วิน ดิแอซ (Darwin Diaz) ผู้ประสานงานทางการแพทย์ขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนกล่าว
พลเรือน โครงสร้างพื้นฐานของพลเมือง และสถานพยาบาลจะต้องได้รับการคุ้มครองตลอดเวลา
ตั้งแต่วันเสาร์ (7 ตุลาคม) เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ขององค์การฯ ตกอยู่ใต้ข้อบังคับที่จำกัดการเดินทาง พวกเขาไม่มีเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเคลื่อนพลไปสมทบกับเพื่อนร่วมงานด้านการแพทย์ชาวปาเลสไตน์ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กที่ไม่มีส่วนร่วมในการสู้รบไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการหลบหนี ทีมงานขององค์การฯ กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความรุนแรงที่ไต่ระดับทะลุเพดาน โรงพยาบาล 2 แห่งที่องค์การฯ ให้การสนับสนุนการทำงาน ได้แก่ โรงพยาบาลอัล อาวดา (Al Awda) และโรคพยาบาลอินโดนีเซีย (Indonesian Hospital) เสียหายจากการโจมตีทางอากาศ ขณะที่คลินิกขององค์การฯ ได้รับความเสียหายบางส่วนจากเหตุระเบิดเมื่อวันจันทร์ (9 ตุลาคม) ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน องค์การฯ ตั้งคลินิก (standalone clinic) เพื่อสนับสนุนการทำงานของโรงพยาบาลอัล อาวดา โรงพยาบาลอินโดนีเซีย และโรงพยาบาลนาศิร (Nasser) ในพื้นที่กาซา ในส่วนของโรงพยาบาลอัล ซิฟา (Al Shifa) องค์การฯ ได้เปิดห้องผ่าตัดเมื่อวันอังคารที่ 10 ตุลาคม เพื่อรองรับผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ป่วยบาดแผลไฟไหม้ นอกจากนี้ยังได้บริจาคเวชภัณฑ์ทางการแพทย์และจะสนับสนุนการทำงานของโรงพยาบาลหลายแห่งต่อไป ทีมงานขององค์การฯในเมืองเจนิน (Jenin) เฮบรอน (Hebron) นาบลุส (Nablus) กำลังประเมินความต้องการทางการแพทย์ในเขตเวสแบงก์ (West Bank) จากสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น มีชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 27 คนถูกสังหารจากการโจมตีบ้านเรือนและการปะทะกับของกองทัพอิสราเอล
พลเรือน โครงสร้างพื้นฐานของพลเมือง และสถานพยาบาลจะต้องได้รับการคุ้มครองตลอดเวลา องค์การฯ เรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลหยุดการลงโทษแบบเหมารวมในพื้นที่กาซาทั้งหมด หน่วยงานภาครัฐและองคาพยพของอิสราเอลและปาเลสไตน์ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัย การสนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อาหาร น้ำอุปโภคบริโภค น้ำมัน ยารักษาโรค และอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในฉนวนกาซาจำเป็นต้องเกิดขึ้นทันที เพราะการเพิกเฉยสามารถนำไปสู่ตัวเลขการสูญเสียที่มากขึ้น
สนับสนุนการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินของพวกเรา
สนับสนุนพวกเราในการส่งต่อเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยการบริจาคตอนนี้