Skip to main content

    วิกฤตด้านมนุษยธรรมเลวร้ายลง หลังกองกำลังอิสราเอลบีบประชาชนออกจากกาซาตอนเหนือไปทางใต้

    Close-up of an MSF speakerphone during an emergency medical aid response on Samos island, Greece. © Alice Gotheron/MSF

    © Alice Gotheron/MSF

    คำสั่งอพยพของอิสราเอลที่ส่งไปยังพื้นที่ทางตอนเหนือของกาซา ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ผลักดันให้ประชาชนหลายหมื่นคนหนีไปทางใต้ทันทีเนื่องจากพื้นที่ตอนเหนือตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศและการรุกทางทางทหารภาคพื้นดิน การบังคับให้พลัดถิ่นครั้งใหญ่ล่าสุดนี้ ทำให้พลเมืองในเบต ฮานูน (Beit Hanoun), จาบาเลีย (Jabalia) และเบต ลาเฮีย (Beit Lahia) ถูกเร่งให้อพยพไปยังเขตมนุษยธรรม (humanitarian zone) ที่มีประชากรหนาแน่นอยู่แล้ว โดยเขตนี้อยู่ระหว่างเมืองอัล-มาวาซี (Al-Mawasi) และเมืองเดอีร์  อัล-บาละห์ (Deir Al-Balah) ในพื้นที่นี้มีประชากรนับล้านคนอาศัยในสภาพความเป็นอยู่ที่ไร้มนุษยธรรมอยู่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามเขตมนุษยธรรมดังกล่าวยังคงไม่ปลอดภัยสำหรับพลเรือนและเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์เพราะกองกำลังอิสราเอลยังคงโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    การบังคับอพยพครั้งใหญ่ให้ละทิ้งบ้านเรือนและการทิ้งระเบิดละแวกใกล้เคียงโดยกองกำลังอิสราเอลกำลังเปลี่ยนทางตอนเหนือของกาซาให้กลายเป็นพื้นที่รกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ส่งผลให้พื้นที่ทางตอนเหนือทั้งหมดของกาซาซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยมาแต่เดิมของชาวปาเลสไตน์ (Strip of Palestinian Life) กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการไม่อนุญาตให้ขนส่งเสบียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (humanitarian supplies) เข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา

    องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders / Médecins Sans Frontières - MSF) เรียกร้องให้กองกำลังอิสราเอลยุติคำสั่งอพยพซึ่งส่งผลให้เกิดการถูกบังคับให้พลัดถิ่นของประชาชน และเพื่อให้มั่นใจว่าพลเรือนจะได้รับการคุ้มครอง กองกำลังอิสราเอลต้องอนุญาตให้เสบียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอันเป็นที่ต้องการอย่างมากเข้าสู่ฉนวนกาซาตอนเหนือได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง

    ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการจำกัดพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนหลายพันคนจากทางตอนเหนือของฉนวนกาซาไปทางตอนใต้โดยใช้กำลังและความรุนแรง กำลังเปลี่ยนพื้นที่ตอนเหนือให้กลายเป็นทะเลทรายที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
    ซาร่าห์ วุยล์สเตค ผู้ประสานงานโครงการ

    “ผมได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากทางเหนืออย่างไม่ทันตั้งตัว” มาหมุด (Mahmoud)  เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังขององค์การฯ (Watchman – MSF) กล่าว มาหมุดเดินทางออกจากเมืองจาบาเลียตอนกลางคืนเพื่อหาที่หลบภัยที่เกสต์เฮาส์ขององค์การฯ ในกาซาซิตี้ (Gaza City) “เราทิ้งบ้านด้วยความสิ้นหวัง ท่ามกลางระเบิด ขีปนาวุธ และปืนใหญ่ มันเป็นเรื่องยากลำบากมาก ผมอยากจะตายมากกว่าต้องย้ายไปทางใต้ บ้านของผมอยู่ที่นี่และผมไม่อยากจากไปไหน”

    กองกำลังอิสราเอลยังสั่งอพยพโรงพยาบาลหลัก 3 แห่งในฉนวนกาซาตอนเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลอินโดนีเซีย (Indonesian hospital), โรงพยาบาลคามัล อัดวาน (Kamal Adwan hospital) และโรงพยาบาลอัล-อาวดา (Al-Awda hospital) ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Health) ระบุว่า โรงพยาบาลดังกล่าวเปิดให้บริการได้เพียงบางส่วน และมีผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาลรวม 317 ราย โดยมีผู้ป่วยหนักประมาณ 80 รายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลทั้งสามแห่งนี้รวมถึงโรงพยาบาลอื่นๆที่ยังคงเปิดให้บริการได้บางส่วนทั่วทั้งฉนวนกาซาจะต้องได้รับการคุ้มครองไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

    ในเวลาเพียงแค่สองวัน ตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงวันจันทร์ คลินิกขององค์การฯ เพียงแห่งเดียวในนครกาซาต้องรับรักษาผู้ป่วย 255 ราย เพราะมีทางเลือกการเข้าถึงการรักษาพยาบาลลดน้อยลงทุกวัน สำหรับบางคนแล้วแม้แต่การเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลที่เหลือเพียงสองสามแห่งนี้ก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย  องค์การฯได้รับรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บที่เสียชีวิตลงเนื่องจากไม่สามารถไปพบแพทย์ได้

    ประชาชนที่ได้รับคำสั่งอพยพออกจากตอนเหนือมีเจ้าหน้าที่องค์การฯ เจ็ดคนรวมอยู่ด้วย พวกเขาสามารถหาที่พักพิงในเมืองกาซาซิตี้ได้ ส่วนอีกห้าคนยังคงติดค้างอยู่ในเมืองจาบาเลียเมืองที่กองกำลังอิสราเอลกำลังปฏิบัติการโจมตีอยู่

    พวกเราทิ้งบ้านด้วยความสิ้นหวัง ท่ามกลางระเบิด ฉันอยากจะตายมากกว่าต้องอพยพย้ายไปทางใต้ บ้านของฉันอยู่ที่นี่และฉันไม่อยากจากไปไหน
    มาหมุด เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังขององค์การฯ

    “ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการผลักประชาชนหลายพันคนจากฉนวนกาซาตอนเหนือไปตอนใต้โดยใช้กำลังและความรุนแรงกำลังเปลี่ยนตอนเหนือให้กลายเป็นทะเลทรายไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้สถานการณ์ทางตอนใต้เลวร้ายลง ในพื้นที่ตอนใต้นั้นมีผู้อพยพมากกว่าหนึ่งล้านคนอาศัยอย่างแออัดในพื้นที่เล็กๆ ของกาซา (Gaza Strip) และใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหดหู่” ซาร่าห์ วุยล์สเตค (Sarah Vuylsteke) ผู้ประสานงานโครงการขององค์การฯ (MSF project coordinator) ในกาซากล่าว

    “การเข้าถึงน้ำ การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยแทบจะไม่มีอยู่แล้ว และไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าผู้อพยพมากมายจะอยู่กันอย่างไรในพื้นที่ขนาดเล็กนี้” วุยล์สเตคกล่าว “ประชาชนต้องเสี่ยงพลัดถิ่นไม่มีที่สิ้นสุดและถูกระเบิดโจมตีไม่หยุดยั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เรื่องแบบนี้มากเกินพอและเรื่องนี้ต้องหยุดทันที”

    แม้ว่าทางการอิสราเอลเพิ่งประกาศขยายเขตมนุษยธรรมอีกเพียงเล็กน้อย แต่พื้นที่นี้ยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งอพยพ และไม่ปลอดภัยจากการทิ้งระเบิดของอิสราเอลที่ยังเกิดขึ้นเป็นประจำ ประชาชนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในเขตมนุษยธรรมกำลังประสบปัญหาโรคผิวหนังและการติดเชื้อทางเดินหายใจเนื่องจากสภาวะความเป็นอยู่ย่ำแย่ สถานการณ์จะยิ่งน่ากังวลมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งผู้คนต้องเผชิญอากาศที่หนาวเย็น

    กองกำลังอิสราเอลต้องระงับคำสั่งอพยพทางตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างเร่งด่วน การสังหารประชาชนในฉนวนกาซาอย่างไม่ปรานีจะต้องยุติลงทันที และจะต้องมีการดำเนินการหยุดยิงทันทีและถาวร (immediate and sustained ceasefire)



    สนับสนุนการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินของพวกเรา

    สนับสนุนพวกเราในการส่งต่อเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยการบริจาคตอนนี้