กาซา: สถานการณ์แสนเลวร้าย ผู้ป่วยล้นทะลักเข้ามาในโรงพยาบาล

ตัวเลขประมาณการล่าสุดระบุว่าจำนวนผู้พลัดถิ่นอยู่ที่ 200,000 คน ส่วนใหญ่คือกลุ่มคนที่ได้รับข้อความเตือนภัยและประชาชนที่บ้านเรือนถูกทำลาย พวกเขาอยู่ในภาวะขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอุปโภคบริโภค สถานที่อาบน้ำ อาหาร ผ้าปูสำหรับหลับนอน หรือสามารถสรุปได้ว่าพวกเขาต้องการปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต

ขณะนี้รัฐบาลอิสราเอลได้ทำการตัดน้ำและไฟฟ้าในพื้นที่กาซาทั้งหมด ส่วนเครือข่ายการสื่อสารได้รับความเสียหายอย่างหนัก เมื่อเช้าองค์การฯ ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ติดต่อทีมในกาซาได้ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้การประสานงานเพื่อปฏิบัติการกู้ภัยและการเข้าถึงผู้บาดเจ็บเป็นเรื่องยากลำบาก

ทุกวันนี้ ผู้คนในพื้นที่กาซาต่างหวาดกลัว องค์การฯ ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานที่นั่นเป็นประจำ แม้ว่าพวกเขาจะผ่านช่วงเวลาสงครามมาหลายครั้ง จนหลายคนมองว่าพวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่สถานการณ์ในปัจจุบันก็ยังทำให้พวกเขาเกิดความวิตกกังวลอย่างมาก สำหรับพวกเขาความรุนแรงในครั้งนี้มันความแตกต่างออกไป มันไร้ทางแก้หรือทางออก พวกเขาตั้งคำถามว่าตอนจบของความขัดแย้งจะเป็นเช่นไร การใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย และสภาพจิตใจของพวกเขาตอนนี้ก็ย่ำแย่มาก

องค์การฯ มีความกังวลอย่างยิ่งกับสภาวะที่โรงพยาบาลและสถานพยาบาลไม่ได้รับการคุ้มครองจากความขัดแย้ง หนึ่งในโรงพยาบาลที่เราดำเนินการร่วมด้วยได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศ นอกจากนี้ยังมีการโจมตีรถพยาบาลที่กำลังขนส่งผู้บาดเจ็บซึ่งจอดอยู่บริเวณด้านหน้าของโรงพยาบาล ทีมขององค์การฯ ที่กำลังผ่าตัดคนไข้จำเป็นต้องหนีออกจากโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน องค์การฯ ขอยืนยันในหลักการอีกครั้ง สถานพยาบาลต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง และนี่คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีการเจรจาต่อรอง

ขณะนี้องค์การฯ กำลังบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์และยาที่จำเป็นให้กับโรงพยาบาลในฉนวนกาซา นอกจากนี้ องค์การฯ ได้ส่งทีมแพทย์ผ่าตัดไปยังโรงพยาบาล 2 แห่งเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เพราะช่วงเวลาอันใกล้จะมีการปฏิบัติการผ่าตัดซ้ำจำนวนมาก จากการที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อรักษาชีวิต เมื่อวานนี้ องค์การฯ ได้ตั้งคลินิกแห่งใหม่บริเวณใจกลางฉนวนกาซา สำหรับรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ และองค์การฯ จะยังคงดำเนินการต่อไปหากสถานการณ์เอื้ออำนวย

ช่วงเช้าของเมื่อวาน เด็กชายวัย 13 ปีถูกนำตัวส่งเข้ามาในโรงพยาบาล พื้นที่ข้างบ้านของเขาถูกโจมตีด้วยระเบิดและเกิดไฟไหม้ลุกลาม ส่งผลให้ร่างกายเกือบทุกส่วนของเขาถูกไฟคลอก มันเป็นเรื่องยากลำบากในการรักษาผู้ป่วยโรคซับซ้อนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดคือเด็ก

ระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ การโจมตีด้วยระเบิด และยอดผู้เสียชีวิตเป็นเรื่องน่าเศร้า การประกาศภาวะสงครามจะต้องไม่นำไปสู่มาตรการที่กระทบต่อการใช้ชีวิตของประชากรในฉนวนกาซา การดำเนินการตัดน้ำ ไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เพราะนี่คือการทำร้ายประชาชนทั้งหมดและกีดกัดการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต