กาซา: ผู้คนในพื้นที่ตอนใต้ไม่มีช่องทางเข้ารับการรักษาเพราะโรงพยาบาลนาสเซอร์ต้องหยุดทำการ
โรงพยาบาลนาสเซอร์ - ดินแดนปาเลสไตน์ พฤศจิกายน 2566 © MSF
กรุงเยรูซาเลม วันที่ 26 มกราคม 2567 – ระบบสาธารณสุขซึ่งจำเป็นต่อการรักษาชีวิตประชาชนต้องหยุดชะงัก ที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ (Nasser hospital) ซึ่งเป็นสถานพยาบาลใหญ่ที่สุดในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมนี้ยังคงยืนหยัดเปิดทำการ ท่ามกลางการสู้รบรุนแรงและการกระหน่ำทิ้งระเบิดที่เมืองข่าน ยูนิส (Khan Younis) ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา ดินแดนปาเลสไตน์ (Occupied Palestinian Territory; OPT) องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders / Médecins Sans Frontières - MSF) ประนามความขัดแย้งที่ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากไร้ช่องทางการเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ เมื่อเกิดเหตุผู้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบล้นทะลักเข้าไปในโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ผลัดถิ่นจำนวนหลายพันคนที่ได้เข้ามาหลบภัยที่นี่ ก็ได้พากันออกจากโรงพยาบาลในระยะเวลาไม่กี่วันก่อนหน้าที่ทางกองทัพอิสราเอลได้ออกคำสั่งให้อพยพในพื้นที่โดยรอบ ศักยภาพในงานทางศัลยศาสตร์ของโรงพยาบาลขณะนี้จึงแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย อีกทั้งเจ้าหน้าที่การแพทย์ซึ่งเหลืออยู่กลุ่มหนึ่งในนี้ก็ต้องฝ่าฟันกับปัญหาเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ไม่เพียงพอรองรับเหตุอุบัติภัยหมู่ อย่างกรณีที่ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
มีผู้ป่วยตกค้างที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ประมาณ 300 ถึง 350 คน ยังไม่สามารถอพยพออกมาได้เนื่องจากสถานการณ์ยังคงไม่ปลอดภัย ประกอบกับขาดรถพยาบาลเพื่อเคลื่อนย้าย ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บเกี่ยวเนื่องกับการสู้รบ โดยทั้งมีบาดแผลเปิด บาดแผลฉีกขาดจากแรงระเบิด กระดูกแตกหัก และบาดแผลไฟไหม้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม มีผู้ป่วยอย่างน้อย 1 คนเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลเนื่องจากไม่มีศัลยแพทย์ทางกระดูกและข้อปฏิบัติหน้าที่
"เมื่อไม่ได้รับการดูแลรักษาทางการแพทย์ ส่งผลทำให้ชีวิตของผู้คนเหล่านี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย จากการที่ทั้งโรงพยาบาลนาสเซอร์และโรงพยาบาลยูโรเปียนกาซาไม่สามารถเข้าถึงได้แทบจะโดยสิ้นเชิง นั่นหมายถึงว่าในกาซาไม่มีระบบบริการสุขภาพอีกแล้ว" กีเยอแม็ต โทมัส (Guillemette Thomas) ผู้ประสานงานภารกิจการแพทย์ขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน ประจำปาเลสไตน์กล่าว
การกระทำอย่างเป็นแบบแผนเพื่อทำลายระบบบริการสุขภาพเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น และต้องสิ้นสุดลงทันทีเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บสามารถรับการดูแลรักษาที่จำเป็นได้ ขณะบริการสุขภาพทั้งระบบเป็นอัมพาตไปเสียแล้วกีเยอแม็ต โทมัส
รอมี* (Rami) บุรุษพยาบาลสังกัดองค์การแพทย์ไร้พรมแดนซึ่งติดอยู่ในโรงพยาบาลนาสเซอร์ บรรยายความรู้สึกหมดหวังในเหตุอุบัติหมู่เมื่อวันที่ 25 มกราคม โดยมีผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ 50 คน และผู้เสียชีวิตอีก 5 คนเข้ามายังห้องฉุกเฉินในคราวเดียวกัน
"ตอนนั้น ในห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ไม่เหลือเจ้าหน้าที่อยู่เลย ไม่มีเตียงว่าง ต้องใช้เก้าอี้กันแทน แล้วก็ไม่มีแพทย์ มีแต่พยาบาลไม่กี่คน" รอมีกล่าว "พวกเราพาผู้ป่วยไปห้องฉุกเฉินเพื่อให้การปฐมพยาบาล เราทำงานกันอย่างตามมีตามเกิด พยายามห้ามเลือด และทำการคัดแยกผู้ป่วยโดยละเอียดอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ที่น่าสยอง และฉันรู้สึกสะเทือนใจจริงๆ"
เวชภัณฑ์ทางการแพทย์พื้นฐาน เช่น ผ้าซับเลือด ก็ใกล้หมดลงทุกขณะ
อย่างวันนี้ ฉันไปห้องผ่าตัดเพื่อรับตัวผู้ป่วยของแผนกเรา ก็ได้ถามเจ้าหน้าที่ซึ่งเหลืออยู่ไม่กี่คน ว่าพอจะแบ่งผ้าซับเลือดช่องท้องมาได้บ้างไหม ทางนั้นตอบกลับมาว่า ไม่มีเหลือให้แล้ว ส่วนที่เขามีก็เอาไปใช้อยู่กับผู้ป่วยหลายคน พวกเขาใช้งานครั้งหนึ่ง จากนั้นบิดเอาเลือดออก ล้างน้ำ ทำการฆ่าเชื้อ แล้วก็นำไปใช้ต่อในผู้ป่วยคนถัดไป ตอนนี้ สถานการณ์ในห้องผ่าตัดที่โรงพยาบาลนาสเซอร์เป็นแบบนั้นแหละ เหลือเชื่อเลยใช่ไหมรอมี บุรุษพยาบาล
แผนที่เผยให้เห็นจุดปฏิบัติการขององค์การฯ ภายหลังจากการปิดล้อมกาซาเป็นเวลา 100 วัน © MSF/Jorge Montoya
ทั้งพื้นที่ตอนใต้ของกาซา โรงพยาบาลยูโรเปียนกาซาเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากโรงพยาบาลนาสเซอร์ มีศักยภาพสูงในการรองรับงานทางศัลยศาสตร์ แต่มาวันนี้ ก็เป็นสถานที่ซึ่งทั้งเจ้าหน้าที่การแพทย์และประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะผลของคำสั่งให้อพยพในพื้นที่โดยรอบ
โรงพยาบาลต้องเป็นพื้นที่ได้รับความคุ้มครอง ประชาชนต้องสามารถได้รับการดูแลรักษาทางการแพทย์ และบุคลากรการแพทย์ต้องสามารถปฏิบัติการแพทย์ได้ ในวันนี้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ทางการอิสราเอลยุติการกระทำอันเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ และให้จัดการเพื่อบรรเทาสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาโดยไม่รอช้า แม้คำสั่งคุ้มครองนี้เป็นย่างก้าวสำคัญ แต่มีเพียงการยุติการโจมตีอย่างเป็นเวลาต่อเนื่องกันเท่านั้นที่จะหยุดการเสียชีวิตของพลเรือน ทั้งยังจะเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตสามารถเข้าไปถึงยังผู้คนจำนวน 2.2 ล้านคนที่อยู่ในดินแดนหลังกำแพงแห่งนี้ได้
*ขอสงวนนามสกุล เพื่อรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล
สนับสนุนการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินของพวกเรา
สนับสนุนพวกเราในการส่งต่อเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยการบริจาคตอนนี้