เมียนมา: นักสาธารณสุขชุมชนกับภาระงานที่ล้นมือ ใต้วังวนที่เต็มไปด้วยอุปสรรคภายในรัฐยะไข่
เจ้าหน้าที่ขององค์การฯ กำลังลำเลียงอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าไปในคลินิกชุมชนซิน เท็ต มาว (Sin Thet Maw) ในเมืองเปาะตอ (Pauktaw) - เมียนมา มีนาคม 2566 © Ben Small/MSF
ในห้วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ไฟแห่งสงครามได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในประเทศเมียนมา องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders / Médecins Sans Frontières - MSF) ซึ่งปฏิบัติภารกิจการแพทย์ด้านมนุษยธรรมอยู่ในรัฐฉาน (Shan) รัฐคะฉิ่น (Kachin) และรัฐยะไข่ (Rakhine) ได้พบภาพของสถานที่ทางการแพทย์ถูกทำลายหรือถูกทิ้งร้าง ไปพร้อมกับภาพของผู้คนนับแสนคนพยายามหนีเอาชีวิตรอดทั้งที่เพิ่งผ่านประสบการณ์พลัดถิ่นมาไม่นาน
วันที่ 13 พฤศจิกายน ในรัฐยะไข่ เสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้งจากที่มีการข้อตกลงหยุดยิงแบบไม่เป็นทางการเมื่อราว 1 ปีก่อน นับแต่นั้นมา ก็ได้มีการออกคำสั่งเข้มงวดที่จำกัดการเดินทางระหว่างพื้นที่ ทำให้ทางองค์การฯ ไม่สามารถดำเนินงานในคลินิกเคลื่อนที่ทั้ง 25 แห่งได้ ซึ่งให้บริการปรึกษาทางการแพทย์ราวสัปดาห์ละ 1,500 ราย
ตลอด 9 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางองค์การฯ ได้พยายามหาแนวทางอื่นเพื่อลดอุปสรรคการเข้าถึงดังกล่าว เช่น จัดให้มีระบบปรึกษาการแพทย์ทางไกล (tele-consultations) ระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ โดยนักสาธารณสุขชุมชนในสังกัดองค์การฯ เป็นเพียงกลุ่มคนไม่กี่หน่วยงานที่ยังสามารถเข้าถึงตัวผู้ป่วยได้
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุมชนในเมียนมา
คลินิกอ้าน-ตา (Ann Thar Clinic) ในเมืองมิ่น-บย่า เป็นสถานที่ให้การดูแลผู้ป่วยกว่า 4,000 คนซึ่งเป็นผู้พลัดถิ่นมาจากรัฐยะไข่และจากชุมชนชาวโรฮิงญาแหล่งอื่น โดยตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางองค์การฯ ก็ยังไม่สามารถเปิดดำเนินงานคลินิกดังกล่าวได้ จากนั้นวันที่ 17 พฤศจิกายน โรงพยาบาลทั่วไปมิ่น-บย่า (Min Bya General Hospital) ก็ได้รับความเสียหายจากการสู้รบ ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ทางองค์การฯ ใช้เพื่อการส่งต่อผู้ป่วยบาดเจ็บฉุกเฉิน
"ฉันชื่อ ออง-อ่อง (นามสมมุติ) เป็นนักสาธารณสุขชุมชนอยู่ที่คลินิกอ้านตา ประจำโครงการมเยาะอู้ (Mrauk-U) หลังเกิดสงคราม สถานการณ์ที่นี่เปลี่ยนไปอย่างกลับตาลปัตรเมื่อเทียบกับก่อนหน้า พอมีการสู้รบกันฉันก็ไม่สามารถทำงานแบบเดิมได้แล้ว จากที่เคยทำได้เป็นปกติอย่างสงบ ตอนนี้ฉันมีแต่ความวิตกถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เดินตามถนนก็รู้สึกหวั่นใจ ต้องเลี่ยงไปเดินผ่านตามคันนา มันไม่สามารถหาความปลอดภัยในชีวิตได้เลย
ด้วยฉันเป็นนักสาธารณสุขชุมชน ทักษะทางการแพทย์ของฉันจึงมีอยู่จํากัด ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ฉันทําได้คือโทรศัพท์หาแพทย์ และดูแลผู้ป่วยตามข้อปฏิบัติที่ได้รับ แต่บางครั้งสัญญาณโทรศัพท์มือถือก็ใช้การไม่ได้ ทำให้มีความยากลำบากในการติดต่อกับแพทย์ แต่พวกเรายังพยายามทำดำเนินการให้ต่อเนื่องได้ทุกสัปดาห์
มีผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างโรคเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูงด้วย แต่ว่าเรายังไม่มียารักษาสำหรับพวกเขา ฉันยังไม่แน่ใจว่าทีมงานของเราจะจัดการต่อไปอย่างไร ยาที่เรามีตอนนี้คือสำหรับผู้ป่วยที่ฝากครรภ์ กับผู้ป่วยโรคลมชัก
หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่เราต้องเจอนั่นก็คือราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ถ้าใครอยากจะเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปคลินิกสักแห่ง เขาต้องเสียเงินประมาณ 60,000 จ๊าต [ประมาณ 1,020 บาท] สําหรับการเดินทางไปกลับ ทั้งที่เมืองนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเราเพียง 5 ไมล์ [ประมาณ 8 กม.] ก็เป็นว่าค่าเดินทางไปหาหมอนั้นแพงยิ่งกว่าค่ารักษาพยาบาลเองเสียอีก ราคาที่สูงขึ้นนี้เป็นมาตั้งแต่เมื่อเริ่มเกิดการสู้รบ ที่เมื่อก่อนก็แค่ 2,000 – 2,500 จ๊าตเอง [ประมาณ 34 – 42 บาท]
ฉันทั้งกังวลใจและเป็นห่วงผู้ป่วยของเราที่อยู่ในหมู่บ้าน ต่อไปนี้ ทั้งผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ที่ต้องไปรับยาทุกเดือนจะลำบากขึ้นอีกมาก ตราบใดที่ถนนหนทางยังถูกปิดกั้นและการสู้รบยังคงดําเนินต่อไป บรรดาคลินิกและร้านยาทั้งหลายในเมืองมิ่น-บย่าก็จะยังคงปิดอยู่อย่างนั้น"
ข้อจำกัดด้านการเดินทางที่ส่งผลต่อผู้ป่วย
มิ่นตู้ เป็นนักสาธารณสุขชุมชนในค่ายพักพิงเจนนิ-ปยีน (Kyein Ni Pyin) สําหรับผู้พลัดถิ่นในเมืองเปาะตอ ของรัฐยะไข่ ค่ายเจนนิ-ปยีนมีผู้พักอาศัยกว่า 7,500 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญาที่ต้องพลัดถิ่นตั้งแต่ปี 2555 เปาะตอเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดของรัฐยะไข่ เผชิญกับการโจมตีอย่างหนักและการพลัดถิ่นจํานวนมาก
โรงพยาบาลเปาะตอจำเป็นต้องปิดทำการ และการเดินทางเข้าออกจากเปาะตอ รวมถึงค่ายพักพิงฯ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ องค์การแพทย์ไร้พรมแดน และหน่วยงานอื่นๆ กําลังเผชิญกับอุปสรรคร้ายแรงในการให้ความช่วยเหลือทุกรูปแบบ และการขนส่งผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลฉุกเฉินที่ช่วยชีวิตก็มีความท้าทายมากขึ้น
"ฉันชื่อ มิ่นตู้ (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี เป็นนักสาธารณสุขชุมชนในสังกัดองค์การแพทย์ไร้พรมแดน มีหน้าที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพแก่ชุมชนในค่าย ฉันช่วยงานเกือบทุกอย่างรวมถึงการแปลภาษาสําหรับผู้ป่วยในวันทำการของคลินิก เมื่อมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามา ฉันส่งต่อพวกเขาไปยังคลินิกเช่นกัน
สงครามนี้ทำให้พวกเราเผชิญอุปสรรคด้านการขนส่งและด้านอาหาร การปันส่วนอาหารมีมาถึงเราอย่างไม่สม่ำเสมอและสินค้าโภคภัณฑ์ก็มีราคาสูงขึ้น
ที่ปรึกษาขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชนยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับผู้ป่วยในหมู่บ้าน คลินิกสุขภาพ และค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ ภาพนี้คือกิจกรรมขององค์การฯ ก่อนเกิดไซโคลนโมคา (Mocha) ซึ่งภายหลังส่งผลให้ความต้องการการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในรัฐยะไข่เพิ่มขึ้น - เมียนมา มีนาคม 2566 © Zar Pann Phyu/MSF
ช่วงก่อนการสู้รบ พวกเราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้หากมีการแจ้งให้เจ้าพนักงานทราบ แต่ในตอนนี้การเดินทางถูกห้ามโดยสิ้นเชิง เราไม่สามารถเปิดทำการคลินิกได้เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยของเราในหลายทาง
กรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน เราใช้วิธีโทรศัพท์หาแพทย์ขององค์การฯ เพื่อขอคำปรึกษา แล้วพยายามทำให้ได้ตามข้อปฏิบัติที่เขาบอกมา แต่ถึงอย่างไร มันก็ลำบากสำหรับพวกเขาเพราะไม่ได้เจอกับผู้ป่วยต่อหน้า เพราะฉะนั้นแพทย์ก็จะได้แต่สั่งยาหรือแจ้งวิธีปฏิบัติตามรายละเอียดที่ได้ฟังจากผู้ป่วย และพวกเราก็แค่ทําตามที่แพทย์บอกทางโทรศัพท์ กับช่วยทำการรักษาให้แก่ผู้ป่วย
คณะทำงานของเราทุกคนที่อยู่ที่สํานักงานขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนในเขตซิตตเว (Sittwe) ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่ายาและเวชภัณฑ์จะมาถึงมือนักสาธารณสุขชุมชนอย่างพวกเราได้อย่างปลอดภัย พวกเรากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต หากเรายังคงไม่สามารถทำให้คลินิกเปิดทำการได้ ทั้งเพราะจากการปิดกั้นการเดินทางและจากสงคราม ก็จะทำให้ผู้ป่วยของเราได้รับผลกระทบอย่างหนัก"
ความรุนแรงที่ส่งผลต่อตัวเลขการพลัดถิ่น
มีค่ายพักพิงผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDP) ตั้งอยู่หลายแห่งใกล้เมืองระเต่ดอง อันเป็นที่พักอาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ยะไข่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต้องพลัดถิ่นที่อยู่มาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องด้วยสงครามครั้งก่อน การสู้รบครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ตามค่ายต่างๆ ดังกล่าวต้องหนีหลบภัยไปยังพื้นที่ซึ่งทุรกันดารกว่า โดยในจำนวนนี้มีนักสาธารณสุขชุมชนในสังกัดองค์การแพทย์ไร้พรมแดนหลายคนรวมอยู่ด้วย
“ตอนนี้ มีการสู้รบเกิดขึ้นอยู่ไม่ไกลนักจากค่ายพักพิงของเรา ผู้คนจากค่ายพักพิงผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDP) ที่อยู่ในเขตเมืองต้องอพยพไปยังที่อื่นแล้ว ได้มีการยิงต่อสู้กันอย่างหนักใกล้ค่ายของเรา ทำให้ทุกคนต้องหนีออกมาจากที่นั่น ต่างคนต่างก็ไปหาที่พักพิงอื่นที่น่าจะปลอดภัย รวมถึงตัวฉันเองด้วย ฉันเป็นหนึ่งในนั้นที่อพยพออกมาจากค่าย" ย่านไนง์ (Yan Naing นามสมมุติ) เจ้าหน้าที่องค์การฯ ให้รายละเอียด
ในแง่ของความปลอดภัยในชีวิต เราได้ฟังข่าวที่มีรายละเอียดข้อมูลแตกต่างกันทุกวัน เราได้ยินเรื่องอย่างเช่น การปิดกั้นเส้นทางทั้งทางน้ำและทางบก และการกราดยิงเป็นระยะมาจากทางเมืองระเต่ดอง
เป็นทั้งความลำบากและท้าทายสำหรับพวกเราในการไปปักหลักอยู่ตามแต่ละที่ เพราะเราต้องเดินทางอยู่ตลอด อีกทั้งการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐานก็กระทบต่อเราเช่นกัน (เมื่อเราต้องพลัดถิ่นที่อยู่) ก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วย พวกเราจึงต้องประหยัดแบตเตอรี่โทรศัพท์
ฉันคิดว่าเรายังกลับไปที่เมืองไม่ได้ตอนนี้เพราะยังมีการสู้รบรุนแรง ผู้คนกลัวที่จะเดินทางไปมาเพราะเราได้ยินมาจากพื้นที่อื่นๆ เกี่ยวกับพลเรือนที่ถูกจับกุม หรือถูกใช้เป็นโล่มนุษย์
เรามีผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในค่ายของเรา และพวกเขาเป็นผู้ป่วยประจำของเราด้วย พวกเขามาที่คลินิกของเราเป็นประจำ (ตอนนี้คลินิกไม่สามารถเปิดทำการได้เนื่องจากมีการปิดล้อมพื้นที่) ฉันต้องติดต่อหาแพทย์ของเรา และปรึกษาว่าเราจะสามารถจัดหายาให้กับผู้ป่วยเหล่านี้ได้หรือไม่เมื่อยาของพวกเขาหมด
เนื่องจากเส้นทางการขนส่งถูกปิดกั้นหลายแห่ง ทำให้ผู้ป่วยที่มีเหตุจำเป็นต้องไปคลินิกอาจไม่สามารถเดินทางไปได้ อีกทั้งผู้คนยังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนเสบียงอาหาร เรื่องกังวลเรื่องใหญ่อย่างเดียวของฉันในตอนนี้ คือเรื่องสุขภาพและอาหารสำหรับผู้คน
ระดับความรุนแรงที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ระดับความรุนแรงของการสู้รบทั่วประเทศเมียนมาอยู่ในขั้นสูงประวัติการณ์ และมีผลกระทบอย่างหนักต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ทั้งในและโดยรอบพื้นที่สู้รบ ที่ซึ่งการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างจำกัดและเสี่ยงภัยในการเข้าถึง หรือไม่ก็ไม่สามารถทำได้เลย
ในรัฐยะไข่ ชุมชนต่างๆ ต้องใช้ชีวิตโดยพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นอันมาก และอยู่กันโดยมีคำสั่งต่างๆ ที่จำกัดเสรีภาพในการเดินทาง ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามนี้ การให้ความช่วยเหลือจากภายนอกที่ทางการของรัฐอนุญาตให้กระทำได้ คือ การรักษาชีวิตผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อหลายชุมชนตามพื้นที่ทุรกันดารต่างๆ ที่ได้มีคลินิกเคลื่อนที่ขององค์การฯ เข้าไปให้บริการ และเพื่อเหล่าผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงการแพทย์
การที่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมต่างๆ จะเข้าไปยังพื้นที่รัฐยะไข่นั้นถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยตลอดมา ทว่าหากการปิดกั้นเส้นทางในขณะนี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็จะกลายเป็นมหันตภัยที่สร้างความวินาศต่อสุขภาพอนามัยของผู้คน
คนไข้ด้านอนามัยการเจริญพันธุ์รอเข้ารับการรักษาในคลินิกชุมชนขององค์การฯ หมู่บ้านซิน เท็ต มาว (Sin Thet Maw) ในเมืองเปาะตอ (Pauktaw) - เมียนมา มีนาคม 2566 © Ben Small/MSF
นักสาธารณสุขชุมชนขององค์การฯ กำลังเห็นภาพของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอย่างต่อเนื่องและมีอุปสรรคด้านการสื่อสารกับแพทย์ ผู้ป่วยที่ถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงการสาธารณสุขทุติยภูมิและไม่มีเงินพอจะไปรับการบริการสุขภาพอื่นที่อยู่ไกลออกไป ข้อมูลล่าสุดจากคณะทำงานประสานงานค่ายทั่วโลกและการจัดการค่าย (Global Camp Coordination and Camp Management) พบว่ามีผู้พลัดถิ่นใหม่กว่า 120,000 คนในรัฐยะไข่ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน และตัวเลขนี้ไม่มีวี่แววว่าจะชะลอตัวลง
โรงพยาบาลหลายแห่งในภาคกลางของรัฐยะไข่ได้ก็ถูกลูกหลงจากการสู้รบรุนแรง หรือไม่ก็ถูกทิ้งร้างเพราะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจำต้องหลบหนีออกจากพื้นที่ โรงพยาบาลสองแห่งในตอนกลางของรัฐยะไข่ซึ่งเป็นจุดประจำที่ทีมงานขององค์การฯ จะพาผู้ป่วยฉุกเฉินมาส่ง ก็ไม่มีการปฏิบัติงานแล้ว ในขณะที่โรงพยาบาลทั่วไปมิ่น-บย่า ก็ได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน
ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ผู้ได้รับการส่งต่อฉุกเฉินบางคนได้รับการช่วยเหลือจากนักสาธารณสุขชุมชนขององค์การฯ สถานพยาบาลต่างๆ ยังเปิดทำการได้อยู่ แต่บางแห่งก็มีการปฏิบัติงานโดยเพียงเจ้าหน้าที่หลัก และมีเวชภัณฑ์ทางการแพทย์จำนวนจำกัด หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็กำลังย้ายทรัพยากรในการปฏิบัติงานไปยังพื้นที่ห่างไกลขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นที่เดินทางไปมาเพื่อหาที่ปลอดภัย
เนื่องจากเส้นทางการเข้าถึงถูกปิดกั้นและไม่ได้รับอนุญาตให้มอบความช่วยเหลือ องค์การแพทย์ไร้พรมแดนจึงไม่สามารถเปิดทำการคลินิกเคลื่อนที่ทั้ง 25 แห่งได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ส่งยังกระทบต่อหน่วยงานด้านมนุษยธรรมอื่นๆ เช่นกัน โดยมีหลายที่รายงานว่าพวกเขาไม่สามารถส่งการช่วยเหลือได้ตามปกติ คู่ความขัดแย้งควรรับรองว่าสถานที่ทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมจะสามารถดำเนินงานต่อไปได้ และต้องรับประกันว่าประชาชนในรัฐยะไข่จะสามารถเข้าถึงการแพทย์ได้โดยปลอดภัย
*ชื่อสมมติ
คุณสามารถอ่านบทความฉบับนี้เป็นภาษาพม่าได้ที่นี่