Skip to main content

    กาซา: การสังหารหมู่ครั้งล่าสุดคือการลดทอนความเป็นมนุษย์ของชาวปาเลสไตน์อย่างสิ้นเชิง

    Main access road to Khan Younis. The area has been completely destroyed by intense bombing and artillery fire by the Israeli forces. Palestine, April 2024. © Ben Milpas/MSF

    ถนนเส้นหลักสำหรับเดินทางไปยังเมืองข่าน ยูนิส (Khan Younis) พื้นที่โดยรอบพังทลายอย่างสิ้นเชิงจากการโจมตีด้วยระเบิดและขีปนาวุธจากกองทัพอิสราเอล - ดินแดนปาเลสไตน์ เมษายน 2567 © Ben Milpas/MSF

    เยรูซาเลม บาร์เซโลนา บรัสเซลส์ และปารีส 11 มิถุนายน 2567 หน่วยงานด้านสาธารณสุขระบุว่าตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนเป็นต้นมามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 800 รายและบาดเจ็บกว่า 2,400 ราย จากการระดมทิ้งระเบิดและปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินในกาซาโดยกองกำลังอิสราเอล องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders / Médecins Sans Frontières - MSF) กล่าวว่าการโจมตีอย่างโหดเหี้ยมเหล่านี้ได้สร้างความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อชีวิตของชาวปาเลสไตน์อย่างชัดเจน 

    การโจมตีทางทหารนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากหลั่งไหลมายังสถานพยาบาลในเมืองราฟาห์ (Rafah) และเขตตอนกลางของกาซาที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การแพทย์ไร้พรมแดน โดยองค์การฯ ได้เรียกร้องให้อิสราเอลหยุดการสังหารหมู่เหล่านี้ในทันที อีกทั้งยังเรียกร้องให้พันธมิตรของอิสราเอล ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทำทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวให้อิสราเอลยุติการโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนในกาซา

    หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นระบุว่าในวันที่ 8 มิถุนายนเพียงวันเดียวมีผู้เสียชีวิตถึง 274 ราย และในวันเดียวกันนี้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่า 60 ราย รวมทั้งเด็กที่ได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลนาสเซอร์ (Nasser Hospital) ที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดนที่สนับสนุนการทำงานอยู่ ในส่วนของโรงพยาบาลอัล อักซอ (Al-Aqsa Hospital) องค์การฯ ได้ให้การช่วยเหลือคณะแพทย์ซึ่งให้การรักษาผู้บาดเจ็บ 420 ราย และเสียชีวิต 190 ราย โดยมีเด็กจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ผู้ที่เข้ารับการรักษาล้วนมีร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากการโจมตีด้วยยุทโธปกรณ์ที่รุนแรง อันได้แก่ สูญเสียอวัยวะ อาการบาดเจ็บสาหัส แผลไหม้ และกระดูกหักชนิดแผลเปิด

    การสังหารผู้คนและเด็กเล็กกว่า 800 คนภายในหนึ่งสัปดาห์ และคนอีกหลายร้อยคนบาดเจ็บสาหัสนับว่าเป็นปฏิบัติการทางทหารภายใต้กรอบกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร เราไม่สามารถยอมรับแถลงการณ์ว่าอิสราเอลได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังอย่างสูงสุดได้อีกต่อไป เพราะถ้อยแถลงเหล่านั้นเป็นแค่วาทกรรมชวนเชื่อ
    บริซ เดอ เลอ วังน์ หัวหน้าหน่วยฉุกเฉิน

    ช่วงต้นสัปดาห์เดียวกัน อิสราเอลระดมทิ้งระเบิดในบริเวณที่ได้ชื่อว่าเป็นเขตปลอดภัย สถานพักพิงผู้ลี้ภัย โรงเรียน และคลังอุปกรณ์ด้านมนุษยธรรมหลายแห่ง สถานที่เหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการโดยกองกำลังอิสราเอลว่าเป็น "เขตปลอดความขัดแย้ง" การโจมตีอย่างหนักในเขตตอนกลางของฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 รายและชาวปาเลสไตน์ได้รับบาดเจ็บกว่า 300 รายที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง บาดแผลจากกระสุนปืน และกระดูกหัก โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ซึ่งถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอัล อักซอซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การแพทย์ไร้พรมแดน 

    “ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา (รวมถึงก่อนหน้านั้น) การลดทอนความเป็นมนุษย์ของชาวปาเลสไตน์ถือเป็นส่วนสำคัญของสงครามครั้งนี้” เดอ เลอ วังน์ กล่าว “วลีที่ใช้กล่าวรวมๆ อย่าง 'สงครามนั้นไม่ใช่เรื่องน่าสนใจ' นำมาใช้ปกปิดความจริงที่ว่าเด็กที่ยังเล็กเกินกว่าจะเริ่มเดินกำลังถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ชำแหละ และฆ่า”

    การโจมตีเหล่านี้ถือเป็นการกระทำอันเหี้ยมโหดครั้งล่าสุดและแสดงให้เห็นถึงลักษณะของสงครามที่อิสราเอลกำลังต่อสู้อยู่ อิสราเอลและพันธมิตรแสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่มีจุดเปลี่ยนหรือเส้นแบ่งใดในความรุนแรงนี้ การโจมตีที่รู้จักกันในชื่อ การสังหารหมู่ ณ จุดรอรับเสบียง (The Flour Massacre)การสังหารหมู่ค่ายผู้ลี้ภัย (The Tent Massacre) หรือการสังหารเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์และครอบครัว การทำลายล้างโรงพยาบาลและระบบสาธารณสุข นำไปสู่ท่าทีทางการทูตที่ไร้ประสิทธิภาพ ถ้อยคำไร้ความหมาย และการเพิกเฉยต่อการกระทำอันไร้มนุษยธรรมอย่างคาดไม่ถึง

    A view of Khan Younis from the roof of Nasser Hospital, formerly the largest hospital in southern Gaza. Palestine, April 2024. © Ben Milpas/MSF

    ภาพเมืองข่าน ยูนิส จากดาดฟ้าของโรงพยาบาลนาสเซอร์ ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้เคยเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของกาซา - ดินแดนปาเลสไตน์ เมษายน 2567 © Ben Milpas/MSF

    เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council) ลงมติเห็นชอบตามข้อเสนอของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงและให้การสนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยไร้เงื่อนไข ทั้งนี้ ต้องให้มีการหยุดยิงและดำเนินการอำนวยความสะดวกให้กับการให้ความช่วยเหลือในทันที มิใช่ดังเช่นครั้งก่อน ๆ หรือมติที่ใกล้เคียงกันก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นจะทำมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นและเป็นตราบาปร่วมกันของมนุษยชาติอีกด้วย

    แม้ว่าทางการอิสราเอลจะออกแถลงการณ์อยู่บ่อยครั้ง แต่ยังมีการปฏิเสธหรือขัดขวางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรงตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา การขาดแคลนเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นและความล่าช้าของหน่วยงานราชการอิสราเอลในการอนุมัติเรื่องความปลอดภัยและวัสดุอุปกรณ์ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามล้วนทำให้บริการด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐานแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย โรงพยาบาลสนามนั้นจำเป็นเนื่องจากระบบสาธารณสุขในกาซาได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลสนามเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนระบบสาธารณสุขที่ครบครันและมีประสิทธิภาพได้

    กระทรวงสาธารณสุขระบุว่าในกาซา มีผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กมากกว่า 37,000 คนถูกสังหาร และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 84,000 คน ดังนั้น ต้องมีการบังคับใช้มติคณะมนตรีความมั่นคงฯ ที่ออกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนในทันที และขณะนี้ในกาซาไม่มีพื้นที่ใดนับเป็นพื้นที่ปลอดภัยได้เลย หลักการกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศถูกละเลย และมีการขัดขวางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเป็นขั้นตอน อีกทั้งจะต้องมีการหยุดยิงโดยทันทีและถาวร และต้องอนุญาตให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงกาซาในทุกพิ้นที่อย่างไม่มีเงื่อนไข

    สนับสนุนการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินของพวกเรา

    สนับสนุนพวกเราในการส่งต่อเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยการบริจาคตอนนี้