ซูดาน: เกิดการโจมตีด้วยระเบิดในบริเวณใกล้เคียงโรงพยาบาลเด็ก การคุ้มครองพลเมืองและโรงพยาบาลต้องดำเนินต่อไป
การโจมตีทางอากาศของกองทัพซูดาน (Sudanese Armed Forces: SAF) ในช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคมนั้น มีการกำหนดวงปฏิบัติการณ์ห่างจากโรงพยาบาลเด็กบาบิเคอร์ นาฮาร์ (Babiker Nahar)ในเมืองเอลฟาเซอร์ (El Fasher) รัฐดาร์ฟูร์เหนือ (North Darfur) เพียง 50 เมตรเท่านั้น โดยโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานพยาบาลที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders / Médecins Sans Frontières - MSF) สนับสนุนการดำเนินงานอยู่ ส่งผลให้หลังคาของหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก (ICU) พังทลายลงมา เป็นสาเหตุให้เด็ก 2 รายที่กำลังรักษาตัวอยู่และผู้ดูแล 1 รายเสียชีวิต
โรงพยาบาลนี้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลไม่กี่แห่งที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กและยังคงเปิดทำการนับตั้งแต่สงครามได้เริ่มขึ้น ผู้ป่วยจากทั่วภูมิภาคดาร์ฟูร์ถูกส่งมารักษาตัวที่นี่เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งอื่นถูกบีบบังคับให้ปิดตัวลง แต่แล้ววันนี้ โรงพยาบาลแห่งนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งสถานพยาบาลที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
เหตูการณ์ดังกล่าวคือผลสืบเนื่องจากการสู้รบกันอย่างหนักภายในรัฐดาร์ฟูร์เหนือเมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม ระหว่างฝ่ายกองทัพซูดาน (SAF) และฝ่ายกองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว (SAF) และแนวร่วม โดยมีผู้บาดเจ็บ 160 รายถูกส่งมายังโรงพยาบาลภาคใต้ (South Hospital) ที่องค์การฯ ร่วมสนับสนุนการทำงานในเมืองเอลฟาเซอร์ ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 31 ราย และเด็ก 19 ราย โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 25 รายมาถึงโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บระยะสุดท้ายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
การต่อสู้ในวันศุกร์เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงของโรงพยาบาลบาบิเคอร์ นาฮาร์ ส่งผลให้ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดต้องอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยมีผู้ป่วยหลายรายได้อพยพมายังโรงพยาบาลภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ในบรรดาผู้ป่วยเด็กกว่า 115 รายที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบาบิเคอร์ นาฮาร์ มีผู้ป่วยเด็กจำนวน10 รายที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่เดิม เมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นในวันเสาร์ จึงปรากฏรายงานเด็กถูกสังหาร 2 ราย และขณะนี้โรงพยาบาลได้ปิดตัวลงแล้ว
การเสียชีวิตของผู้ป่วยเด็กสองคนที่กำลังรักษาตัวอยู่ภายในแผนกผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลเด็กและผู้ดูแลอีกหนึ่งรายนั้น คือความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพซูดาน จากผู้ป่วยเด็กจำนวน 115 คนที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ขณะนี้ไม่เหลือแม้แต่รายเดียว แน่นอนว่าเหตุความขัดแย้งส่งผลให้ระบบบริการสุขภาพในซูดานนั้นไม่เพียงพอเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงสถานที่ทำการของโรงพยาบาลแห่งนี้เคยผ่านเหตุการณ์ถูกปล้นสะดมเมื่อช่วงต้นของสงครามไมเคิล โอลิเวียร์ ลาคาไรท์
"จากนั้นองค์การฯ ได้ทำการซ่อมแซมและขยายพื้นที่ทำการของคลินิกสุขภาพขนาดเล็กในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน เพื่ออพยพบรรดาเด็กน้อยเหล่านี้ไปรับการรักษาตัวต่อ การยกระดับคลินิกขนาดเล็กให้กลายเป็นโรงพยาบาลที่สามารถรองรับปฏิบัติการทางการแพทย์นั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะการทำงานท่ามกลางความขัดแย้ง โรงพยาบาลแห่งนี้ถือเป็นโรงพยาบาลเด็กเพียงไม่กี่แห่งที่ยังดำเนินงานต่อไปได้ในพื้นที่ดาร์ฟูร์
และองค์การฯ รับตัวผู้ป่วยที่ส่งต่อมาจากทั่วทุกเขตในรัฐเนื่องจากสถานพยาบาลในพื้นที่อื่นไม่สามารถดำเนินงานได้ หากในท้ายที่สุด สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งโรงพยาบาลที่ต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นช่วงที่องค์การฯ กำลังเพิ่มระดับความสามารถในการรับมือกับวิกฤตการณ์ภาวะทุพโภชนาการร้ายแรงภายในค่ายเอลฟาเซอร์และซัมซัม (Zamzam)" ไมเคิล โอลิเวียร์ ลาคาไรท์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินองค์การฯ ขยายความ
ผู้ป่วยเด็กกว่า 115 รายได้เข้ารับการรักษาด้วยอาการของโรคที่หลากหลาย เช่น มาลาเรีย (malaria) ปอดอักเสบ (pneumonia) ท้องร่วง (diarrhoea) และภาวะทุพโภชนาการ แต่ในปัจจุบันพวกเขากลับไม่ได้รับการรักษาอะไรเลย เด็กสองรายที่ถูกคร่าชีวิตเป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤตในแผนกผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาล และมีโอกาสที่จะรอดชีวิต
เหตุการณ์แบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด องค์การฯ ย้ำเตือนไปถึงคู่ขัดแย้งในสงครามเสมอว่าโรงพยาบาลและสถานพยาบาลต้องไม่ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีหรือได้รับลูกหลงจากความขัดแย้ง องค์การฯ ยังได้เรียกร้องให้คู่ขัดแย้งเหล่านั้นทำการปกป้องพลเรือนอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ นอกจากเด็กสองรายและผู้ดูแลอีกหนึ่งรายที่ต้องสูญเสียชีวิตในช่วงวันเสาร์ หนึ่งวันก่อนหน้านั้น หรือในวันศุกร์ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบอีก 25 รายเดินทางมาถึงโรงพยาบาลภาคใต้ด้วยอาการบาดเจ็บระยะสุดท้าย และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ทันท่วงทีไมเคิล โอลิเวียร์ ลาคาไรท์
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนกำลังส่งข้อเรียกร้องฉุกเฉินไปยังคู่ขัดแย้งทุกฝ่าย เพื่อให้ดำเนินการปกป้องคุ้มครองพลเรือนและระบบบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นพันธกรณีภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งในวันที่โรงพยาบาลได้รับความเสียหาย มีเด็กและผู้ดูแลถูกสังหารนั้น ตรงกับวันครบรอบ 1 ปีในการลงนามในปฏิญญาเจดดาห์ (Jeddah declaration) อีกด้วย