องค์การฯ ขอแจ้งเตือนว่ารัฐบาลหลายชาติกำลังล้มเหลวในการทดสอบ รักษา และป้องกันวัณโรคในเด็ก
ผู้ป่วยวัย 5 ขวบ เข้ารับการเอ็กซ์เรย์หน้าอกฟรีจากหน่วยเคลื่อนที่เชิงรุกขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนแห่งหนึ่งในเขตตอนโด (Tondo) กรุงมะนิลา - ฟิลิปปินส์ มีนาคม 2566 © Ezra Acayan
เจนีวา 14 พฤศจิกายน 2566 – องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières – MSF / Doctors Without Borders) ตอบรับ‘แผนงานสู่การยุติวัณโรคในเด็กและเยาวชน’ ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization - WHO) ด้วยความยินดีและเรียกร้องให้ทุกประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง (high TB burdens) ให้ความสำคัญกับการปรับใช้ การดำเนินการ และการขยายปฏิบัติการตามแนวทางการจัดการกับวัณโรคซึ่งรวบรวมโดยองค์การอนามัยโลกเพื่อลดตัวเลขเด็กที่เสียชีวิตจากโรคร้ายที่สามารถรักษาให้หายขาดได้นี้ได้ โดยวัณโรคยังคงเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตเด็ก 1 คนในทุก 3 นาที
แนวทางการทดสอบและการรักษาวัณโรคในเด็กและเยาวชนขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่ในปี 2565 แนะนำการแนวทางสำคัญหลายประการเพื่อช่วยชีวิตเด็กจากวัณโรค ได้แก่ การใช้โปรแกรมอัจฉริยะในการตรวจวินิจฉัยโรคซึ่งจะช่วยให้เด็กจำนวนมากได้รับการตรวจผ่านการพิจารณาอาการของโรคเพียงอย่างเดียว การใช้การทดสอบเจเนเอ็กซ์เพิร์ท (GeneXpert) จากตัวอย่างอุจจาระซึ่งเป็นวิธีการจัดการที่ง่ายกว่าสำหรับเด็ก แทนการขากสเลดหรือไอเพื่อเก็บตัวอย่างเสมหะ การใช้สูตรการรักษา 4 เดือนสำหรับการวินิจฉัยวัณโรคที่ไวต่อยาหากไม่รุนแรงแทนสูตรการรักษา 6 เดือนดังเช่นก่อนหน้านี้ และการจัดหาการรักษาสูตร 3 เดือนเพื่อป้องกันวัณโรคในเด็กที่คลุกคลีกับสมาชิกภายในครอบครัวที่เป็นวัณโรค อย่างไรก็ตามข้อแนะนำเหล่านี้ไม่สามารถทำให้บรรลุผลเท่าที่ควรในประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง
“ข้อเสนอแนะจากองค์การอนามัยโลกเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีประโยชน์ต่อการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการวินิจฉัยวัณโรคในเด็กภายใต้ทุกสภาพแวดล้อม แม้จะมีข้อจำกัดด้านเวลาในการเข้าถึงการทดสอบในห้องปฏิบัติการและการเอกซเรย์ อย่างไรก็ตามเรายังเห็นว่าประเทศที่นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปใช้เพื่อรักษาชีวิตเด็กให้มากขึ้นมีอยู่ไม่เพียงพอ” ดร.กาเบรียลลา เฟียร์ลาซโซ (Gabriella Ferlazzo) ที่ปรึกษาด้านการแพทย์ในการรณรงค์ขององค์การฯ เพื่อให้มีการเข้าถึงการรักษาวัณโรค(MSF’s Access Campaign)
เราเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับและเริ่มดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก เพื่อให้เด็กจำนวนมากได้รับการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาทันที ซึ่งหมายถึงว่าต้องมีการอบรมและการสนับสนุนเจ้าหน้าที่เพื่อทำให้เรื่องนี้สำเร็จ รัฐบาลต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จในทันทีดร.กาเบรียลลา เฟียร์ลาซโซ
การวินิจฉัยวัณโรคที่ผิดพลาดในเด็กนำไปสู่การรักษาที่ผิดพลาดและยอดเสียชีวิตที่สูง การทดสอบเพื่อวินิจฉัยวัณโรคมีอยู่สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งไม่สามารถนำมาดัดแปลงใช้กับเด็กได้ เพราะการทดสอบนี้ไม่สามารถตรวจจับแบคทีเรียวัณโรคที่มีอยู่ในระดับต่ำซึ่งยังส่งผลให้เด็กเจ็บป่วยได้ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการยืนยันผลตรวจพบวัณโรคในเด็กที่ยังคงมีปริมาณน้อย แม้ว่าจะมีทรัพยากรที่ครอบคลุมการทำงานมากที่สุด
ในขณะที่เสมหะ (สิ่งขาก) เป็นทางเลือกที่ดีในการเก็บตัวอย่างเพื่อใช้ในการทดสอบวัณโรคในผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กส่วนใหญ่จะไม่สามารถไอออกมาให้มีเสมหะได้ตามต้องการ ขณะนี้องค์การอนามัยแนะนำให้ใช้การทดสอบโดยเก็บตัวอย่างน้ำย่อย ของเหลวจากโพรงจมูก หรืออุจจาระโดยใช้การทดสอบเจเนเอ็กซ์เพิร์ธ อัลตร้า (GeneXpert Ultra) การทดลองใช้ตัวอย่างของเหลวจากกระเพาะอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กและมักจะเป็นไปไม่ได้หรือลำบากมากในเด็กเล็กหรือเด็กที่ป่วย จนทำให้การทดสอบโดยอุจจาระเป็นทางเลือกเดียวที่ทำได้ในสภาพแวดล้อมหลายแห่ง แม้กระทั่งทางเลือกนี้ก็ยากลำบากในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยนอก
ความไม่แม่นยำของการทดสอบและการเข้าถึงการทดสอบเพื่อวินิจฉัยในการค้นหาวัณโรคในเด็กที่ยากลำบาก ทำให้ผู้ให้การบริการสาธารณสุขต้องทำให้แน่ใจว่ามีการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะต้น ซึ่งสามารถสังเกตจากสัญญาณและอาการของโรคที่องค์การอนามัยแนะนำ การวิจัยและการพัฒนาเพื่อการทดสอบที่ดีขึ้นในการวินิจฉัยวัณโรคในเด็กเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยเร่งด่วน
“มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมทั้งที่วัณโรคเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่ยังคงมีผู้ติดเชื้อมานับพันปี ขนาดช่วงศตวรรษที่ 21 ยังคงมีเด็กที่ติดเชื้อวัณโรคเพียงร้อยละ 40 ที่ได้รับการรักษาเพื่อต่อสายป่านชีวิต สืบเนื่องมาจากการที่ไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมในการทดสอบวัณโรคในเด็ก” ดร. นาซิบา มัคซูโมวา (Nasiba Maksumova) เจ้าหน้าที่โครงการวัณโรคขององค์การฯ ในทาจิกิสถานกล่าว
เราจำเป็นต้องมีการทดสอบวัณโรคในเด็กที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้การเก็บตัวอย่างในพื้นที่ห่างไกลมีความสะดวกและคล่องตัว เช่น การกวาดลิ้นหรือการเจาะเลือดจากปลายนิ้ว นักวิจัย ผู้บริจาคและบริษัทยาจำเป็นต้องพยายามในการพัฒนาให้มีการทดสอบวัณโรคที่ดีขึ้น และเมื่อเกิดการพัฒนาแล้ว การทดสอบนี้ต้องพร้อมใช้งานและมีราคาที่จับต้องได้ในทุกประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง เด็กที่ป่วยเป็นวัณโรคไม่สามารถรอจนกว่าประเทศต่างๆ จะร่วมมือกันในปฏิบัติการต่อต้านโรคร้ายแรงนี้ได้ดร. นาซิบา มัคซูโมวา
นอกจากการทดสอบและการรักษาแล้ว การรักษาเชิงป้องกันในเด็กและเยาวชนที่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นวัณโรคในครอบครัวหรือในชุมชนยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง มีการแนะนำสูตรการรักษาแบบ 3 เดือนที่จะเป็นการป้องกันวัณโรคสำหรับเด็กที่รวดเร็วขึ้นมานานแล้ว แต่การปริมาณของการดำเนินงานยังคงไม่เพียงพอ ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเพิ่มการเข้าถึงการรักษาเชิงป้องกันและเริ่มทำให้เด็กมีสิทธิ์ได้เข้ารับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงของประชาชนกลุ่มที่เปราะบางที่จะติดเชื้อวัณโรค
“ภายหลังจากทศวรรษของความกดดันและการรอคอย ในที่สุดเราก็ค้นพบสูตรยาที่เป็นมิตรต่อเด็กในการป้องกันวัณโรค” ดร.เคนเนดี้ ยูอะดิอัลลิ (Kennedy Uadiale) เจ้าหน้าที่โครงการขององค์การฯ ในเซียร์ร่าลีโอน (Sierra Leone) เอ่ย “อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยคนที่จะได้รับยาป้องกันวัณโรคเพราะกระบวนการคัดกรองเพื่อชี้วัดพวกเขาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศต่างๆ ต้องทำตามพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้ในปฏิญญาทางการเมืองของสหประชาชาติ (UN) เกี่ยวกับวัณโรคเมื่อเดือนที่แล้วและยื่นมือเข้าช่วยชีวิตเด็กที่ได้รับผลกระทบจากวัณโรค”