Skip to main content

    โรฮิงญา: จากบ้านมากว่า 6 ปี เล่าขานตัวตนผ่านสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ

    Melwa

    รูปภาพรวมสมาชิกครอบครัวของมิลัวะอ์ในเมียนมา กระดาษเปื่อยสีซีดจางใบนี้คือภาพมิลัวะอ์ที่ล้อมรอบไปด้วยลูกชาย ลูกสาว และหลาน © MSF/Mohammad Hijazi

    ชาวโรฮิงญา คือกลุ่มชนส่วนน้อยผู้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งถูกกีดกันสิทธิพลเมืองโดยทางการเมียนมา  พวกเขาจำต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ต้องทิ้งทุกสิ่งอย่างในชีวิตที่เคยมีไว้เบื้องหลัง แล้วข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างบังกลาเทศ โดยปัจจุบัน ค่ายพักพิงผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในเมืองคอกซ์เบซาร์ (Cox's Bazar) เป็นที่อยู่ของชาวโรฮิงญากว่า 925,000 ชีวิต

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของชาวโรฮิงญา 4 ครอบครัว กับเศษเสี้ยวข้อยืนยันในการมีชีวิตที่พวกเขานำติดตัวออกมาจากเมียนมาด้วย  สิ่งของเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ภาพฝัน และความหวังถึงอนาคตที่ดีกว่านี้  ท่ามกลางความโกลาหลไร้ทิศทาง  สิ่งของเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยตัวตนและจิตวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของมัน ความไม่ย่อท้อต่อชะตา และความสามัคคีแห่งชาติพันธุ์ ในการประกอบสร้างวิถีชีวิตที่ถูกทำลายลงขึ้นมาใหม่ แม้ว่าแต่ละครอบครัวได้ประสบอุปสรรคที่แตกต่างกันออกไปก็ตาม 

    ซะละมาตุลลอฮ์ (Salamatullah) อายุ 42 ปี

    bgd

    ซะละมาตุลลอฮ์ ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาวัย 42 ปี  เขาถือตะกร้าใส่สิ่งของเท่าที่พอจะนำติดตัวออกมาได้ตลอดระยะเวลาการเดินทาง 2 วัน จากเมียนมาไปสู่บังกลาเทศ ในตะกร้านี้ใส่ของใช้ยังชีพสำหรับการเดินทางของเขา อาทิ อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า  © MSF/Mohammad Hijazi

    ในปี 2560 ราว 2 เดือนก่อนหน้าเหตุการณ์จะลุกลาม  ซะละมาตุลลอฮ์มีเวลาตัดสินใจไม่มากนัก  ด้วยปรากฏว่าทางการเริ่มจับกุมชาวโรฮิงญาโดยไม่เลือกหน้า  เขาจึงเลือกหนีออกมาอย่างไม่รอช้า ทิ้งข้าวของทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง  อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้นำสิ่งที่เป็นของสำคัญในชีวิตติดตัวมาด้วย คือ รูปภาพสมาชิกครอบครัวของเขา เอกสารจากทางศาล ผ้าห่ม ปิ่นโตใส่อาหาร และตะกร้าใบหนึ่งเพื่อใส่ของเหล่านี้

    bgd

    ตะกร้าที่ซะละมาตุลลอฮ์หอบหิ้วมาด้วยจากเมียนมา  ในตะกร้ามีผ้าห่ม ปิ่นโตใส่อาหาร และเอกสารราชการต่างๆ ของเขา  © MSF/Mohammad Hijazi

    "ฉันมีเวลาเก็บข้าวของมาได้เท่านี้แหละ  พวกรูปภาพนี่ต้องเอามาด้วยให้ได้ มันเป็นกำลังใจให้ตลอด 2 วันที่หนีออกมา" เขาเล่า 

    ส่วนเอกสารที่เขาได้มาจากศาลก็มีที่มาที่ไป "ฉันต้องเสียค่าปรับ จึงได้ออกมาจากคุก" เขาเล่าถึงโทษทัณฑ์ที่เขาถูกลงโทษโดยไร้สาเหตุ  "ฉันพกใบนี้ติดตัวไว้เป็นสรณะ แสดงให้เห็นถึงความอยุติธรรมที่พวกเราต้องทนรับไว้" 

    Salamatullah, 42

    ซะละมาตุลลอฮ์ วัย 42 ปี ถือหนังสือสำคัญแสดงการปล่อยตัวจากเรือนจำ เป็นสิ่งบันทึกความอยุติธรรมชิ้นหนึ่งที่เขาได้รับจากทางการเมียนมา "ฉันต้องเสียค่าปรับ จึงได้รับการปล่อยตัว" เขาเล่า  เอกสารฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความอยุติธรรมที่เขาต้องแบกรับ  © MSF/Mohammad Hijazi

    ในขณะที่ซะละมาตุลลอฮ์หนีออกมาโดยลำพัง  โดยแยกกันกับซุบีฏอระ (Subitara) ภรรยาของเขาที่พาลูกอีก 3 คนไปด้วย  หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างต้องบุกป่าฝ่าดง พวกเขาก็ได้พบกันอีกครั้งในพื้นที่ค่ายพักพิง

    Salamatullah, 42, alongside his wife, Subitara, 35, and their son, Mohammad Kawsar, 5, portrays a family bond that withstood separation. Initially embarking on individual journeys out of Myanmar, they found unity once more in the camp at Cox's Bazar, Bangladesh.

    ภาพของสายใยซึ่งไม่อาจพรากจากกันได้  ซะละมาตุลลอฮ์ [42 ปี] ภรรยาของเขา ซุบีฏอระ [35 ปี] มุฮัมมัดเคาซัร [5 ปี] บุตรชาย  จากแรกเริ่มที่ต่างคนต่างหนีออกมาจากเมียนมา ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาเจอกันได้อีกครั้ง ณ ค่ายพักพิงในเมืองคอกซ์เบซาร์ ประเทศบังกลาเทศ  © MSF/Mohammad Hijazi

    แม้อยู่ในค่ายพักพิงแล้ว ซะละมาตุลลอฮ์ยังคงมีเรื่องทุกข์ใจ เขามักเปรยว่าไม่รู้พวกเขาจะมีโอกาสได้กลับบ้านอีกหรือไม่ "ทุกวันที่ผ่านไป ฉันเองก็แก่ตัวลงเรื่อยๆ แต่ยังไม่เห็นปลายทางว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร" เขากล่าว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือลูกทั้ง 3 คน "ความคิดว่าลูกๆ ของฉันจะมีอนาคตอย่างไรถ้าเรายังคงมีชีวิตเช่นนี้ แค่ก็ทำให้หลับไม่ลงแล้ว ฉันแค่หวังไว้เหนือสิ่งอื่นใด ให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนหนังสือสูงๆ กับมีสิทธิเสรีภาพอันชอบธรรม"

    อับดุลชะกูร (Abdulshakour) อายุ 43 ปี

    MSF/Mohammad Hijazi

    อับดุลชะกูร วัย 43 ปี เป็นบิดาของบุตรจำนวน 7 คน  ครั้งหนึ่งชีวิตของเขามีเพียงแค่ครอบครัวกับการทำงานเท่านั้น  ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ในภาพนี้เขานั่งอยู่ข้างบุตรชายซึ่งกำลังยืนถือกระเป๋าย่าม ข้างในบรรจุของใช้ส่วนตัวเท่าที่จะนำติดตัวมาด้วยได้ © MSF/Mohammad Hijazi

    เมื่อครั้งยังอยู่เมียนมา อับดุลชะกูร วัย 43 ปี หาเลี้ยงชีพจากการทอดแหอวนหาปลาตามลำน้ำต่างๆ แล้วนำปลาที่ได้ไปขายที่ตลาดละแวกนั้น  การมีลูกถึง 7 คน ชีวิตของอับดุลชะกูรจึงไม่พ้นเรื่องการหารายได้เลี้ยงปากท้องครอบครัว  จนกระทั่งเหตุการณ์วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ที่พลิกชีวิตของเขาไปตลอดกาล

    เมื่อชุมชนใกล้เคียงตกเป็นเป้าหมายการโจมตี มีการปะทะเกิดขึ้นรอบหมู่บ้าน ความโกลาหลก็เกิดขึ้น "ทุกคนแตกตื่นหนีเอาตัวรอด" อับดุลชะกูรเล่า จากความชุลมุนทำให้เขาพลัดหลงกับครอบครัวนานถึง 25 วัน แต่ก็ได้เจอหน้ากันอีกครั้งระหว่างเดินทางโดยเรือเล็กเพื่อไปยังบังกลาเทศ 

    MSF/Mohammad Hijazi.

    อับดุลชะกูร อายุ 43 ปี ถือแผ่นป้ายเลขที่บ้านซึ่งเขาเคยอาศัยอยู่ในเมียนมา เป็นสิ่งของอย่างหนึ่งที่ทำให้หวนนึกถึงความหลัง บุตรชายของเขายืนอยู่ข้างๆ ในมือหอบแหจับปลาของผู้เป็นพ่อ เพื่อแสดงถึงวิถีการดำรงชีพในช่วงที่ผ่านมา © MSF/Mohammad Hijazi

    การอพยพหลบหนีมีข้อจำกัดหลายอย่าง ผู้คนจึงได้รับคำแนะนำว่าควรนำสิ่งของสำคัญติดตัวไปเพียงชิ้นเดียว สำหรับอับดุลชะกูรแล้ว สิ่งของชิ้นนั้นเดาได้ไม่ยาก มันคือแหจับปลานั่นเอง "ฉันเชื่อว่าฉันจะได้ใช้งานมันที่นี่ (ค่ายผู้ลี้ภัย)" เขาว่า ทว่าปัญหาด้านสุขภาพทำให้เขาไม่สามารถจับปลาในที่อยู่ใหม่ดังหวังได้

    I believed it would be useful here in Bangladesh," remarks Abdulshakour, as his son displays the fishing net he once used. As a fisherman in Myanmar, selling his catch at local markets.

    "ฉันเชื่อว่าฉันจะได้ใช้งานมันที่บังกลาเทศนะ" อับดุลชะกูรกล่าว บุตรชายของเขายกแหจับปลาขึ้นมาให้ดู เขาเคยใช้มันเพื่อเลี้ยงปากท้องเมื่อครั้งยังอยู่ในเมียนมา โดยการหาปลาไปขายตามตลาดสดแถวบ้าน © MSF/Mohammad Hijazi

    การใช้ชีวิตในค่ายพักพิงผู้อพยพเองก็มีความยากลำบาก "ตั้งแต่ปี 2565 ก็มีคนอพยพเข้ามาตลอด แต่ว่าพื้นที่ค่ายไม่ได้ขยายตาม" เพื่อให้มีมื้ออาหารที่หลากหลายและเพียงพอ หลายครอบครัวก็นำพืชผักที่ปลูกเป็นอาหารมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน "เราจะกินแต่ปลาไม่ได้หรอก" อับดุลชะกูรกล่าวเสริม ชี้ถึงความจำเป็นในการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน  เมื่อลูกของเขาคลอดที่นี่ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูน่ากังวลยิ่งไปอีก  

    ของชิ้นหนึ่งที่ดูเด่นชัดคือป้ายเลขที่บ้านที่เขานำมาด้วย  มันเป็นเหมือนภาพชีวิตที่หยุดนิ่งไว้กลางการเคลื่อนไหวของกาลเวลา เป็นสิ่งยึดโยงให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำและความเป็นอยู่ในอดีต 

    A close-up of the house number in Abdulshakour's hands, a cherished keepsake he holds onto in the hope of returning to his home in Myanmar one day.

    ป้ายเลขที่บ้านในมือของอับดุลชะกูร ของชิ้นสำคัญที่เขานำมาด้วย เป็นความหวังที่จับต้องได้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้กลับบ้านเกิดในเมียนมา  © MSF/Mohammad Hijazi

    เมื่อเขาติดต่อกับพี่น้องผู้ชาย 2 คนของภรรยาซึ่งยังคงอยู่ในเมียนมา จึงทราบข่าวคราวว่าได้มีมาตรการจำกัดการเดินทางชาวโรฮิงญา ส่งผลให้การเดินทางไปยังพื้นที่ปลอดภัยเป็นเรื่องยากลำบากมากกว่าเดิม สำหรับอับดุลชะกูรแล้ว ใจของเขายังคงปักอยู่กับถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมในเมียนมา  "ฉันยังคงคิดถึงถิ่นที่เคยอยู่ คิดถึงครอบครัว และยังหวังอยู่ตลอดว่าจะได้กลับไป" เขาเล่าความในใจ ซึ่งไม่แตกต่างกับอีกหลายคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน 

    มิลัวะอ์ (Melua) อายุ 65 ปี

    Melua, 65, made the tough decision to leave her home in Myanmar due to increasing violence. Looking back on the hurried departure, she says, "In the urgency of it all, I grabbed a few essential documents and our family portraits: my daughter's birth certificate and a family photo. I even left behind clothes that I had freshly washed."

    มิลัวะอ์ วัย 65 ปี ตัดสินใจทิ้งบ้านเรือนของตนในเมียนมาจากเหตุความรุนแรงที่เริ่มลุกลาม เมื่อนึกย้อนไปยามที่เธอต้องเดินทางหนีออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว เธอเล่าว่า "ในขณะที่ทุกอย่างฉุกละหุกไปหมด ฉันก็เลือกหยิบเอกสารสำคัญมาบางส่วน กับแฟ้มภาพของครอบครัวเราซึ่งมีสูติบัตรของลูกสาวฉัน กับภาพถ่ายรวมสมาชิกในครอบครัว  ส่วนที่เหลือฉันทิ้งไว้เลย แม้แต่เสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จมาใหม่ๆ" © MSF/Mohammad Hijazi

    มิลัวะอ์ในวัย 65 ปี เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต  สถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นบีบบังคับให้ครอบครัวเธอจำต้องหนีออกมา จนกระทั่งเดินทางมาถึงค่ายพักพิงในวันอีดิลอัฎฮาของปี 2560 (Eid al-Adha - วันสำคัญในศาสนาอิสลาม) เมื่อต้องตัดสินใจโดยด่วนว่าจะนำอะไรติดตัวไปบ้าง เธอเล่าว่า "ในขณะที่ทุกอย่างฉุกละหุกไปหมด ฉันก็เลือกหยิบเอกสารสำคัญมาบางส่วน กับแฟ้มภาพของครอบครัวเราซึ่งมีสูติบัตรของลูกสาวฉัน กับภาพถ่ายรวมสมาชิกในครอบครัว  ส่วนที่เหลือฉันทิ้งไว้เลย แม้แต่เสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จมาใหม่ๆ" 

    Melua, 65, holds dear the few belongings she was able to bring with her when she fled her home in Myanmar. Among them are these precious photographs of her family.

    มิลัวะอ์ อายุ 65 ปี กับสิ่งของอันมีคุณค่าทางจิตใจเพียงไม่กี่ชิ้นที่เธอสามารถนำติดตัวมาด้วยได้ เมื่อต้องอพยพหนีออกมาจากเมียนมา  หนึ่งในนั้นคือรูปภาพของครอบครัว เป็นของมีค่ายิ่งสำหรับเธอในเวลานี้  © MSF/Mohammad Hijazi

    การเลือกของมิลัวะอ์มาจากการมองโลกตามความเป็นจริง  เอกสารเหล่านี้นอกจากเป็นวัตถุเชิงสัญลักษณ์ของเชื้อสายตระกูลของเธอแล้ว มันยังมีประโยชน์กับการยืนยันตัวตนในภายภาคหน้า  เรื่องราวความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเรียกว่ากลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับความสงบสุขในชีวิตก่อนหน้า

    เธอจำภาพชีวิตของเธอเมื่อครั้งยังอยู่ในเมียนมาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งเสาบ้าน รั้ว ผืนแผ่นดินที่ตนเป็นเจ้าของ ฝูงไก่ที่เลี้ยงไว้ และมุมโปรดที่เธอมักไปรับประทานอาหาร  ยิ่งหวนคำนึงถึงเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอนของเธอมากเท่าไร ความรู้สึกภายในก็พรั่งพรูออกมาเท่านั้น "ถ้าพูดถึงเรื่องพวกนี้ทีไรก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่" เธอว่า 

    A close-up of Melua's family portraits from Myanmar. The faded and worn photos show Melua surrounded by her sons, daughter, and grandchildren

    มิลัวะอ์ยื่นหนังสือทะเบียนบ้านให้ดู เป็นเอกสารที่ออกให้โดยหน่วยงานเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร์และคนต่างด้าวของเมียนมา (Immigration and Population Department) ซึ่งระบุรายละเอียดของบุคคลในครอบครัวเธอไว้ทั้งหมด ชาวโรฮิงญามักจะเก็บไว้อย่างดีเพราะเป็นหลักฐานการได้รับสัญชาติของพวกเขา © MSF/Mohammad Hijazi

    อย่างไรก็ดี การตัดสินใจกลับสู่มาตุภูมิของเธอก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางประการ เธอขยายความว่า "ถ้าเราจะกลับไป ก็ต้องเห็นว่ามีหลักประกันความปลอดภัยในชีวิต มีการยอมรับ ไม่ถูกกีดกัน มีสิทธิเสรีภาพของพลเมือง และมีอนาคตสำหรับคนรุ่นหลังของเรา โดยเฉพาะโอกาสการเข้าถึงการศึกษา"

    ท่ามกลางชุมชนของผู้พลัดถิ่น มันยังคงมีความหวังสำหรับอนาคตที่ดีกว่าและช่องทางในการได้รับการศึกษาสำหรับลูกหลานของเธอ ซึ่งสิ่งนี้ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนจิตวิญญาณของมิลัวะอ์อยู่ในเวลานี้

    Melwa, 65, a Rohingya refugee, in MSF's Kutupalong field hospital in Cox's Bazar, Bangladesh. She fled her home in Myanmar in 2017 and has been living in the camp ever since. She comes to the hospital to collect her medication.

    มิลัวะอ์ อายุ 65 ปี ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา วันนี้เธอมารับยาที่โรงพยาบาลสนามกุตุปาลอง (Kutupalong) ขององค์การฯ ในเมืองคอกซ์เบซาร์ ประเทศบังกลาเทศ เธอต้องหลบหนีออกมาจากเมียนมา และได้มาอาศัยอยู่ในค่ายพักพิงตั้งแต่ปี 2560  © MSF/Mohammad Hijazi

    ฮะบิบัลลอฮ์ (Habibullah) อายุ 52 ปี

    Habibullah, 52, sits, holding a bag with his essential documents: identification, official certificates, and driver's license.

    ฮะบิบัลลอฮ์ วัย 52 ปี นั่งถือถุงใส่เอกสารสำคัญอย่างบัตรระบุตัวตน เอกสารราชการต่างๆ และใบอนุญาตขับรถ © MSF/Mohammad Hijazi

    ฮะบิบัลลอฮ์ วัย 52 ปี หาเลี้ยงชีพโดยการเป็นคนขับรถ รับส่งผู้โดยสารระหว่างพื้นที่สองฟาก  มีลูกสาว 2 คน และลูกชาย 2 คน  เขาเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งชีวิตยังสงบสุขก่อนเกิดเหตุการณ์ในปี 2560 

    เมื่อเหตุรุนแรงลุกลามใหญ่โต ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนก็คือประชาชนคนธรรมดาอย่างเช่นฮะบิบัลลอฮ์ "หมู่บ้านของเราตกเป็นเป้าของการโจมตี" การนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตทำให้เขาไม่สบายใจ  "ถ้าขืนยังอยู่ที่นั่นต่อก็จะเป็นอันตราย  เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว  มีแค่การออกมาหรืออยู่ต่อไปแบบเสี่ยงชีวิต"  พวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่วันที่จะเลือกการตัดสินใจครั้งใหญ่ จนกระทั่งแนวการสู้รบเข้าประชิดใกล้มา ฮะบิบัลลอฮ์และเพื่อนบ้านจึงหนีไปหลบภัยชั่วคราวในเทือกเขา

    Habibullah, 52, wears the only jacket he took with him during his journey from Myanmar to Bangladesh.

    ฮะบิบัลลอฮ์ วัย 52 ปี กับเสื้อแจ็กเกตตัวเดียวที่เขาหยิบติดตัวมาขณะเดินทางออกจากเมียนมาไปยังบังกลาเทศ  © MSF/Mohammad Hijazi

    “ฉันเดินทางไปเรื่อยๆ มาถึงแม่น้ำที่เป็นชายแดนบังกลาเทศ ระยะทางราว 50 ไมล์ (ประมาณ 80 กม.)" ฮะบิบัลลอฮ์เล่า "ฉันต้องหลบๆ ซ่อนๆ  รู้สึกตลอดว่ามีอันตรายอยู่รอบตัว ทั้งเสียงปืนลั่นกระหน่ำมาจากไกลๆ หรือว่ารูกระสุนที่เห็นพรุนเต็มไปหมด" ความชุลมุนทำให้ต่างคนก็หลงกระจัดกระจายไป แต่ก็กลับมาพบกันที่ค่ายพักพิงผู้ลี้ภัย 

    แม้สถานการณ์จะดูสิ้นหวังแต่ฮะบิบัลลอฮ์ก็ตั้งสติไว้ได้ เขาจึงไม่ลืมที่จะพกเอกสารสำคัญต่างๆ กับใบอนุญาตขับรถมาด้วย "ในเวลาชี้เป็นชี้ตายแบบนี้ ฉันมีเอกสารพวกนี้เป็นสิ่งยืนยันตัวตนของฉัน" เขาทราบดีถึงถึงอุปสรรคที่อาจพบเมื่อต้องไปเยือนต่างถิ่น เขาจึงเล็งเห็นได้ว่าเอกสารเหล่านี้จะมีค่าอย่างยิ่งในการบ่งบอกอัตลักษณ์ของตน และยังให้ความรู้สึกมั่นคงในชีวิตได้บ้างในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา

    Looking ahead, Habibullah expresses a deep longing for his homeland. "If the situation improves in Myanmar, I will definitely return. Who wishes to leave their country? Who desires to be stateless, without any recognition?" His voice carries the weight of nostalgia, "I miss everything about Myanmar - my family, my yard, my cattle, my home, and the graves of my parents."

    ฮะบิบัลลอฮ์วางเรียงเอกสารต่างๆ ให้ดู มีบัตรประจำตัวผู้ลี้ภัย หนังสือทะเบียนบ้าน เอกสารราชการต่างๆ และใบอนุญาตขับรถ ปึกแผ่นกระดาษเหล่านี้เป็นพยานหลักฐานถึงการมีอยู่ของอัตลักษณ์ของเขา  © MSF/Mohammad Hijazi

    เมื่อพูดถึงอนาคตในภายภาคหน้า ฮะบิบัลลอฮ์เผยความปรารถนาแรงกล้าอันจะได้กลับไปยังแผ่นดินเกิดของตน "ถ้าเหตุการณ์บ้านเมืองมันสงบลง ฉันก็จะกลับไปเมียนมาอย่างแน่นอน  คงไม่มีใครเต็มใจทิ้งบ้านเกิดตัวเองไปหรอก  ไม่มีใครอยากจะเป็นคนไร้รัฐที่ไม่มีสิทธิไม่มีความคุ้มครองใดๆ แบบนี้"  น้ำเสียงของเขาทอดคำนึงถึงความหลังแสนชื่นมื่น "ฉันคิดถึงทุกอย่างเกี่ยวกับเมียนมา ครอบครัว สนามหญ้า ฝูงสัตว์ บ้าน และหลุมฝังศพของพ่อแม่"

    Habibullah holds his driver's license alongside a family photo, tangible memories of the life he once had in Myanmar and among the select items he carried during his departure.

    ฮะบิบัลลอฮ์ชูใบอนุญาตขับรถกับรูปภาพครอบครัวให้ดู นอกเหนือจากของใช้ยังชีพอื่นๆ ที่เขานำติดตัวมาด้วย ก็มีสิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุแห่งความทรงจำที่บรรจุไว้ด้วยภาพชีวิตที่เขาเคยมีในเมียนมา © MSF/Mohammad Hijazi

    Habibullah, 52, holds up his driver's license. In Myanmar, he earned a living as a driver, transporting passengers from place to place. "I brought the documents to prove our origins, thinking they might ask for them," he says.

    ฮะบิบัลลอฮ์ อายุ 52 ปี กับใบอนุญาตขับรถของเขา เมื่อครั้งยังอยู่เมียนมาเขาหาเลี้ยงชีพโดยการเป็นคนขับรถรับจ้าง รับส่งผู้โดยสารไปมาตามสถานที่ต่างๆ "ที่ฉันเอาเอกสารพวกนี้มาด้วยก็เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของฉัน เผื่อว่าจะมีเจ้าหน้าที่เรียกตรวจดู" เขากล่าว © MSF/Mohammad Hijazi

    องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières - MSF) ยังคงเดินหน้าดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในการช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้กับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาเข้ามาที่ค่ายพักพิงผู้ลี้ภัยนี้โดยตลอด  ทางองค์การฯ ปฏิบัติภารกิจในประเทศบังกลาเทศตั้งแต่ปี 2528  และในพื้นที่เมืองค็อกซ์เบซาร์ตั้งแต่ปี 2552 โดยเริ่มจากการก่อตั้งโรงพยาบาลสนามกุตุปาลอง (Kutupalong) ซึ่งให้บริการกับทั้งผู้ลี้ภัยและพลเมืองท้องถิ่น  ภายหลังการอพยพเข้ามาระลอกใหญ่เมื่อปี 2560 ของชาวโรฮิงญาซึ่งหนีเอาชีวิตรอดจากความพยายามกวาดล้างชาติพันธุ์ในเมียนมา ทางองค์การฯ ก็ได้เสริมทัพการดำเนินงานในบังกลาเทศเพื่อรองรับจำนวนผู้ต้องได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีเพิ่มขึ้น  จนกระทั่งปี 2562 ก็ได้มีการยกระดับความสามารถในการรองรับการรักษาพยาบาลระยะยาว สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างเช่น ความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน 

    ไม่ว่าจะเป็น ซะละมาตุลลอฮ์ อับดุลชะกูร ฮะบิบัลลอฮ์ และมิลัวะอ์ เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของผู้อพยพอีกจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งต่างก็มีสิ่งของบางอย่างอันมีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้มีกำลังก้าวต่อไป และให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์ของตน  การเดินทางของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปแม้จะมีอุปสรรคกั้นขวาง  พร้อมมีวัตถุแห่งความทรงจำเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้ให้กำลังใจ