Skip to main content

    โครงการ ‘Time for Five’ เรียกร้องให้บริษัทเซเฟียตและบริษัทดานาเฮอร์ ลดราคาชุดตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์

    Time for $5 banner

    วอชิงตัน ดี.ซี. 22 มีนาคม 2567เนื่องในวันวัณโรคโลก (World Tuberculosis (TB) Day) องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (Doctors Without Borders / Médecins Sans Frontières - MSF) องค์การมนุษยธรรมระหว่างประเทศทางการแพทย์ เดินทางร่วมกับกลุ่มนักกิจกรรมด้านสาธารณสุขระดับโลกไปยังอาคารที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทดานาเฮอร์ (Danaher) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเรียกร้องให้บริษัทแม่แห่งนี้ออกนโยบายต่อไปยังบริษัทลูกอย่างเซเฟียต (Cepheid) เพื่อปรับลดราคาชุดตรวจวิเคราะห์โรคทางการแพทย์  ‘GeneXpert’ ที่ใช้ในการตรวจวัณโรค (Tuberculosis / TB) เอชไอวี (HIV) ตับอักเสบ (hepatitis) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted infections / STIs) และอีโบลา (Ebola) ที่บริษัทขายให้กับประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำลงมาอยู่ที่ 5 ดอลล่าร์ต่อชุด โดยการวินิจฉัยที่เหมาะสมจะเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาผู้ป่วยที่ถูกขั้นตอนและถูกวิธี นอกจากนี้ยังเป็นการหยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคติดเชื้ออีกด้วย นอกจากการรวมตัวกันในครั้งนี้ องค์การฯ ยังได้เปิดโครงการลงรายชื่อ ไทม์ ฟอร์ ไฟว์ (Time for Five) ร่วมกับองค์การทั่วโลกกว่า 150 แห่ง อาทิ  องค์การพันธมิตรด้านสุขภาพ (Partners in Health) และกลุ่มรณรงค์เพื่อการรักษา (Treatment Action Group) เพื่อส่งเสียเรียกร้องไปยังบริษัทดานาเฮอร์และเซเฟียตอีกด้วย

    “พวกเรารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเรียกร้องให้บริษัทดานาเฮอร์หยุดทำกำไรจากชุดตรวจวิเคราะห์โรคทางการแพทย์” ฮันนา ดาร์โรล (Hanna Darroll) เจ้าหน้าที่แคมเปญด้านสุขภาพนานาชาติ องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ประจำประเทศสหรัฐอเมริกากล่าว

    บริษัทดานาเฮอร์และเซเฟียตได้รับทุนสนับสนุนจากภาครัฐ (public funding) อย่างน้อย 252 ล้านดอลล่าร์ เพื่อพัฒนาชุดตรวจวิเคราะห์โรคเหล่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้พวกเขาตั้งราคาขายที่สูงเกินควร นั่นส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำ ที่ไม่สามารถเข้าถึงการวินิจฉัยที่เหมาะสมและไม่ได้รับการรักษาที่ตรงจุด งานวิจัยขององค์การฯ ระบุว่าบริษัทดานาเฮอร์จะยังคงมีกำไรมหาศาลต่อให้ตั้งราคาขายชุดวินิจฉัยที่ 5 ดอลล่าร์ต่อชุด และนี่คือที่มาของโครงการเรียกร้อง ‘ไทม์ ฟอร์ ไฟว์’ ไปยังบริษัทดานาเฮอร์และเซเฟียต

    องค์การแพทย์ไร้พรมแดนเผยแพร่งานวิจัยในปี 2562 ซึ่งประเมินว่าบริษัทดานาเฮอร์และเซเฟียตอาจได้กำไรจากการขายชุดตรวจวิเคราะห์โรค GeneXpert ราว 5 ดอลล่าร์ต่อชุดตรวจหนึ่งชุด จากนั้นในช่วงเดือนกันยายนปี 2566 กลุ่มความร่วมมือ ไทม์ ฟอร์ ไฟว์ (Time for Five) และนักกิจกรรมด้านวัณโรคได้รวมตัวกันกดดันบริษัทดานาเฮอร์อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความสำเร็จขั้นแรกในการลดราคาชุดตรวจวิเคราะห์โรควัณโรคขั้นต้นจาก10 ดอลล่าร์ลงมาอยู่ที่ 8 ดอลล่าร์ นอกจากนี้บริษัทยังประกาศว่าจะมีการตรวจสอบราคาต้นทุนที่แท้จริงของการผลิตชุดตรวจวิเคราะห์ในแต่ละปี จากบุคคลภายนอกที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงด้านราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนดังกล่าว หากจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับคำประกาศข้างต้นเพิ่มเติม สืบเนื่องจากตัวเลขของกลุ่มกองทุนโลก (Global Fund) การลดราคาขายชุดตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวจะส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการซื้อผลิตภัณฑ์ได้ถึง 32 ล้านดอลล่าร์ต่อปี และสามารถนำเงินส่วนนี้ไปต่อยอดเพื่อซื้อชุดตรวจวิเคราะห์เพิ่มได้ถึง 3.6 ล้านชุดต่อปี ตัวเลขดังกล่าวคือการเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ป่วยวัณโรคจำนวนมากให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงที รวมถึงการรักษาชีวิตของผู้คนเหล่านี้เช่นกัน

    ทว่า บริษัทเซเฟียตและดานาเฮอร์ยังคงตั้งราคาขายผลิตภัณฑ์ชุดตรวจวิเคราะห์ระดับความรุนแรงของวัณโรคอยู่ที่ 15-20 ดอลล่าร์ ชุดตรวจเชื้อวัณโรคดื้อยาหลายขนาดชนิดรุนแรงมาก (extensively drug-resistant TB) ที่ 15 ดอลล่าร์ ชุดตรวจเชื้อเอชไอวีที่ 15 ดอลล่าร์ ชุดตรวจไวรัสตับอักเสบที่ 15 ดอลล่าร์ ชุดตรวจเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ 16-19 ดอลล่าร์ และชุดตรวจเชื้ออีโบลาที่ 20 ดอลล่าร์ การตั้งราคาขายที่สูงกว่าต้นทุนการผลิต 5 ดอลล่าร์ (จากงานวิจัยขององค์การฯ) ส่งผลให้บริษัทจะได้กำไรอยู่ที่ราวร้อยละ 200-400 ต่อชิ้น

    Cepheid-public-funding_ENG

    มันเป็นเรื่องที่หาคำอธิบายได้ยาก ที่บริษัทดานาเฮอร์มีรายได้ปีละหลายหมื่นล้านดอลล่าร์ โดยส่วนหนึ่งมาจากการขายชุดตรวจวิเคราะห์โรค GeneXpert แต่ผู้คนจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงการตรวจรักษาโรคที่เหมาะสมสำหรับการวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาที่ถูกจุดได้ เนื่องจากชุดตรวจวิเคราะห์โรคเหล่านี้ราคาแพงเกินกว่าจะเอื้อมถึง” ซาโลนี ฟรูฮอฟ (Saloni Fruehauf) ผู้จัดการแคมเปญ ฝ่ายจัดแคมเปญเพื่อการเข้าถึงสิทธิการรักษา องค์การแพทย์ไร้พรมแดนเอ่ย “องค์การฯ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเรียกร้องให้ลองหวนย้อนนึกถึงสถานการณ์แสนยากลำบากที่เกิดขึ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ช่วงเวลาที่พวกเราไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือการวินิจฉัยโรคที่สำคัญ ไม่สามารถทราบได้ว่าพวกเราติดเชื้อ (โควิด) หรือไม่ และไม่สามารถใช้ชีวิต ทำงาน หรือว่าทำกิจกรรมตามปกติได้  องค์การฯ ขอส่งเสียงต่อไปยังผู้สนับสนุนขององค์การฯ และผู้คนทุกคนที่อยากหยุดการแสวงหากำไรเกินควรเหล่านี้ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องผ่านการลงรายชื่อไปยังบริษัท เพื่อให้พวกเขาดำเนินการอย่างถูกต้องในการลดราคาขายชุดตรวจวิเคราะห์โรคสำหรับประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำลงมาอยู่ที่ 5 ดอลล่าร์”

    ชุดตรวจวิเคราะห์โรค GeneXpert เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจวินิจฉัยโรค ณ จุดดูแลผู้ป่วย (point of care) ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดพักอาศัยของประชากรและมักจะไม่มีห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เปิดให้บริการอยู่ เครื่องมือชิ้นนี้มักใช้ในการวิเคราะห์เชื้อเอชไอวี (HIV) ในทารกแรกเกิดที่สัมผัสเชื้อไวรัส อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งของทารกกลุ่มนี้ไม่ได้รับการตรวจวิเคราะห์จากเครื่องมือ GeneXpert ตามที่องค์การอนามัยโรค (World Health Organization / WHO) แนะนำ

    มีการใช้ชุดตรวจวิเคราะห์โรคชนิดนี้กับการวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งหากได้รับผลการตรวจอย่างเหมาะสม ก็จะส่งผลทางบวกอย่างชัดเจนในการออกแบบการรักษาพยาบาลที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ชุดเครื่องมือตัวเดียวกันนี้สำหรับการวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และอีโบลา สำหรับการตรวจวัณโรคและระดับการติดเชื้อดื้อยา GeneXpert คือเครื่องมือที่พลิกโลกการตรวจวิเคราะห์โรค หากในเวลานี้กลุ่มผู้คนที่สามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อวัณโรคจากเครื่องมือชนิดนี้ได้เพียงน้อยนิด

    Tuberculosis in Tondo, Manila, Philippines, March 2023 © Ria Kristina Torrente

    โทนี่ (Tony) อายุ 69 ปี ทำความสะอาดมือทั้งสองข้างของเขาด้วยแอลกอฮอล์หลังจากส่งตัวอย่างเสมหะให้กับหน่วยการตรวจวัณโรคเคลื่อนที่ขององค์การฯ ในพื้นที่บารังไก 133 (Barangay) ในย่านตอนโด (Tondo) เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ - มีนาคม 2566 © Ria Kristina Torrente

    “การตรวจวิเคราะห์โรคด้วยเครื่อง GeneXpert คือการปฏิวัติการตรวจวินิจฉัยวัณโรคดื้อยาอย่างแท้จริง เพราะเครื่องมือชนิดนี้สามารถแจ้งผลการทดสอบได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะต้องรอนานเกือบสามเดือน เนื่องจากองค์การฯ ต้องส่งตัวอย่างเหล่านี้ไปยังห้องปฏิบัติการในภูมิภาคที่ห่างไกลออกไปและรอพวกเขาทดสอบผ่านการตรวจเชื้อแบคทีเรีย นพ. มูฮัมหมัด โชอัยบ์ (Muhammad Shoaib) ผู้ประสานงานด้านการแพทย์องค์การฯ ประจำประเทศปากีสถานเล่า “ปัจจัยหลักที่ผู้คนไม่สามารถเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยโรคคือเรื่องราคาชุดตรวจวิเคราะห์ GeneXpert ที่มีราคาสูง ในประเทศปากีสถาน เราประเมินว่ามีกลุ่มผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาอยู่ราว 15,000 รายในแต่ละปี หากมีผู้ป่วยเพียง 3,500 รายเท่านั้นที่เข้ารับการรักษา นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยวัณโรคยังมีจำนวนน้อยอยู่ มีผู้คนที่ต้องการเข้ารับการวิเคราะห์โรคด้วยเครื่องมือชนิดนี้จำนวนมาก แต่มีคนที่ได้ตรวจวิเคราะห์เพียงบางส่วน ประกอบกับสถานการณ์ที่มีการลดกองทุนสำหรับการรักษาวัณโรค องค์การฯ ต้องการเครื่องมือการวินิจฉัยโรคในราคาที่จับต้องได้

    ตัวเลขจากองค์การอนามัยโลกในปี 2565 ระบุว่า ร้อยละ 62 ของผู้ป่วยวัณโรคไม่สามารถเข้าถึงการตรวจด้วยวิธีอณูชีววิทยาที่รวดเร็ว (rapid molecular diagnostic test) อย่างการตรวจวิเคราะห์โรคด้วยเครื่อง GeneXpert ซึ่งเป็นวิธีการที่ทางองค์การอนามัยโลกแนะนำได้ โดยวิธีการตรวจยังคงเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ตรวจหาโรคเมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้วอย่างการตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ (sputum microscopy) หรือการสังเกตอาการของโรคโดยไม่มีการตรวจหาเชื้อ

    “ก่อนเด็กอายุ 11 ขวบที่ติดเชื้อวัณโรคดื้อยาคนนี้จะเดินทางมาที่คลินิกของเรา เขาได้รับการวินิจฉัยโรคที่ผิดพลาด มีการเข้ารับการรักษาเพียง 2 ครั้งในรอบ 4 ปี และนั่นคือสาเหตุที่อาการป่วยของเขาไม่ดีขึ้นเลย” นพ. โชอัยบ์เล่า “เมื่อองค์การฯ รับเด็กคนนี้เข้ารับการรักษา เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและเข้าสู่กระบวนการการรักษาที่มีประสิทธิภาพทันที จนตอนนี้เขาสามารถกลับไปเรียนที่โรงเรียนตามปกติได้แล้ว ในฐานะแพทย์ การที่ผู้ป่วยไม่ว่าเด็กหรือว่าผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงการวินิจฉัยโรคเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันหมายถึงการส่งตัวผู้ป่วยต่อไปยังขั้นตอนการดำเนินการรักษาพยาบาลที่ถูกต้องและรวดเร็ว และนอกจากจะเป็นการดูแลสุขภาพของคนเหล่านี้เองแล้ว มันยังเป็นการตัดวงจรการแพร่ระบาดของวัณโรคในกลุ่มคนใกล้ชิดของผู้ป่วยอีกด้วย”

    ในแต่ละปี องค์การแพทย์ไร้พรมแดนซื้อชุดตรวจวิเคราะห์โรค GeneXpert คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2 ล้านดอลล่าร์ เพื่อใช้งานสำหรับโครงการทางการแพทย์ทั่วโลกมากกว่า 70 ประเทศ