เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 (2017) ชาวโรฮิงญามากกว่า 700,000 คน หลบหนีจากปฏิบัติการอันโหดร้ายทารุณที่ทำอย่างเป็นระบบในเมียนมาไปยังเขตค็อกซ์บาซาร์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบังกลาเทศ ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญามาถึงค่ายผู้ลี้ภัยในสภาพที่หิวโหย บาดเจ็บ และจิตใจบอบช้ำ
องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ได้รับทราบเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจว่าบ้านเรือนและหมู่บ้านของพวกเขาถูกทำลายจนราบคาบ บางครอบครัวมีสมาชิกที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อยู่ในบ้าน ผู้หญิงและเด็กสาวถูกข่มขืน เด็กๆ ถูกเฆี่ยนตีปางตาย ผู้ชายไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กถูกจับมัดและสังหารต่อหน้าต่อตาสมาชิกในครอบครัว

วอร์บริก ศิลปินชาวอังกฤษ สร้างผลงานแอนิเมชั่นโรโตสโคปว่าด้วยชะตากรรมอันเลวร้ายและเรื้อรังของชาวโรฮิงญา
“ทหารเข้ามาที่หมู่บ้านของเราประมาณ 6 โมงเย็นและบอกเราว่า ‘ออกจากหมู่บ้านไปก่อน 8 โมงเช้าวันพรุ่งนี้ ใครยังอยู่จะฆ่าให้หมด”ผู้ป่วยชาวโรฮิงญา วัย 61 ปี
ทุกวันนี้มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาเกือบหนึ่งล้านคนอาศัยอยู่ในเขตค็อกซ์บาซาร์ พวกเขาอยู่กันอย่างแน่นขนัดในพื้นที่ 26 ตารางกิโลเมตรด้วยความหวังอันเลือนลางว่าอนาคตจะดีขึ้น ซึ่งค่ายนี้ได้กลายเป็นค่ายผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในบังกลาเทศมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้ได้รับการศึกษาในระบบ โอกาสในการประกอบอาชีพ และโอกาสในการเดินทางกลับบ้านเกิด สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความจำเป็น เช่น สุขาและอาหารที่ได้รับแจกล้วนเป็นของส่วนกลาง ผู้คนต้องมารอคอยกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อเข้าถึงบริการพื้นฐานเหล่านี้ รวมถึงน้ำเปล่าและสุขอนามัย
ชีวิตที่ปราศจากความแน่นอนของพวกเขา รังแต่จะแย่ลงเพราะการระบาดของโควิด-19 สิทธิเสรีภาพและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเพื่อรักษาชีวิตที่มีอยู่น้อยนิดตั้งแต่แรกก็ถูกจำกัดมากยิ่งขึ้น

เด็กชายชาวโรฮิงญาคนหนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บกำลังนั่งอยู่บนเตียงที่สถานพยาบาลขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ในค่ายผู้ลี้ภัยกูตูปาลอง © Antonio Faccilongo/MSF

วอร์บริก ศิลปินชาวอังกฤษ สร้างผลงานแอนิเมชั่นโรโตสโคปว่าด้วยชะตากรรมอันเลวร้ายและเรื้อรังของชาวโรฮิงญา

“ถนนใหญ่” ในค็อกซ์บาซาร์ ต้นไม้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยที่พำนักของผู้ลี้ภัย © Vincenzo Livieri/MSF
“เราอยู่ในคุกที่ไม่มีห้องขัง ชีวิตของผู้ลี้ภัยเหมือนอยู่ในนรก และทุกวันก็เหมือนกันหมด บางทีผมต้องลองกัดตัวเองดูว่ายังมีความรู้สึกอยู่ไหม ฆ่าตัวตายผมก็เคยลองทำมาแล้ว”ฟารัก เป็นผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาท
ในเดือนพฤษภาคม 2563 (2020) รัฐบาลบังกลาเทศได้เริ่มส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่ได้รับการช่วยเหลือจากทะเลไปยังเกาะบาซันชาร์ ห่างจากแผ่นดินใหญ่ประมาณ 30 กิโลเมตร จนถึงปัจจุบันชาวโรฮิงญามากกว่า 3,000 คนจากค็อกซ์บาซาร์ถูกย้ายไปยังเกาะนี้ ซึ่งเป็นเกาะยาวแคบเกิดจากการทับถมของตะกอนดินที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่เกินยี่สิบปี และตั้งอยู่ในภูมิภาคที่คนประมาณ 700,000 คนเคยเสียชีวิตเพราะพายุถล่มในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา (ลิงก์ 3) ชาวโรฮิงญาอีกจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะต้องย้ายถิ่นฐานอีกในเร็วๆ นี้ เนื่องจากทางการอ้างว่าเกาะนี้สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ประมาณ 100,000 คน การที่องค์กรอิสระด้านมนุษยธรรมยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความกังวลมากขึ้นว่าผู้ลี้ภัยจะมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร

ความสุขเมื่อได้เปิดก๊อกน้ำ @Vincenzo Livieri

ฟารัก เป็นผู้ลี้ภัยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนที่ค่ายผู้ลี้ภัยนายาพาราในค็อกซ์บาซาร์ เขาเกิดในบังกลาเทศและอาศัยอยู่ภายในค่ายนายาพารามาตลอดชีวิต เขาต้องกระเสือกกระสนเพื่อให้ภรรยาและลูกๆ ของเขาสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ตลอดระยะเวลาเจ็ดถึงแปดปีที่ผ่านมา และในสถานการณ์การระบาดนี้ ชีวิตเขายุ่งยากซับซ้อนขึ้น เขาระบายความอัดอั้นตันใจและความหวาดกลัวให้แก่ทีมงานของเราที่ค่ายนายาพาราฟัง *มีการเปลี่ยนชื่อ @Farah Tanjee

“ไม่ง่ายเลยที่จะวางแผนอนาคตให้ลูกหลานของเรา” บิบิ จัน ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญานั่งที่โต๊ะน้ำชาพร้อมกับฟาเยซโซราห์มัน ลูกชายวัยห้าขวบ ในค่ายผู้ลี้ภัยคูตูปาลอง @Dalila Mahdawi
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาหลายแสนคนในบังกลาเทศรู้สึกสิ้นหวัง เนื่องจากพวกเขายังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัดยัดเยียด ไร้ความสะดวกสบาย พร้อมกับต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคและต่อสู้กับความบอบช้ำจากทุกสิ่งที่พวกเขาได้เผชิญมา
การรับมือวิกฤตผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF)
บังกลาเทศ
นับตั้งแต่ปี 2528 (1985) องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ได้ลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่กรุงธากาและเขตค็อกซ์บาซาร์ในบังกลาเทศ
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนได้เพิ่มขีดความสามารถอย่างมหาศาลในการรับมือกับวิกฤตผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาหลังจากที่ชาวโรฮิงญาหลั่งไหลเข้ามาในบังกลาเทศ และได้ริเริ่มดำเนินงานรับมือฉุกเฉินครั้งใหญ่ในพื้นที่ค็อกซ์บาซาร์
เฉพาะในช่วงหกเดือนแรกของวิกฤตผู้ลี้ภัยโรฮิงญา องค์การแพทย์ไร้พรมแดนได้ทำการรักษาผู้ป่วยแล้วมากกว่า 350,000 คน รวมถึงเหยื่อจากการข่มขืน ผู้ป่วยที่มีบาดแผลจากการถูกยิง และผู้มีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลันรุนแรง นอกจากนี้ ยังพบการระบาดของโรคที่ปัจจุบันสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนและโรคที่ไม่ปรากฏมานานแล้วในค่ายผู้ลี้ภัยอีกด้วย
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนยังให้บริการดูแล หญิงที่ตั้งครรภ์และการดูแลสุขภาพจิต ซึ่งรวมถึงการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตรายบุคคลสำหรับผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงทางเพศ

แผนที่แสดงข้อมูลการรับมือกับวิกฤตผู้ลี้ภัยขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน โดยมีการตั้งศูนย์รักษาพยาบาลโรคโควิด-19 โดยเฉพาะ @ Daniella Ritzau-Reid
เนื่องจากโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก องค์การแพทย์ไร้พรมแดนจึงเพิ่มหน่วยรักษาพยาบาลทั่วพื้นที่เป็นการเร่งด่วน ในขณะเดียวกันเราได้จัดการอบรมพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และจัดการให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้รับการรักษาพยาบาล
ข้อแนะนำในการรับมือกับโควิด-19 สำหรับคนทั่วโลกนั้น แทบไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในค่ายผู้ลี้ภัย
มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมไม่สามารถทำได้จริงในกรณีที่ผู้คนต้องอยู่อาศัยกันอย่างแออัดในที่พักพิงที่ไม่มั่นคงแข็งแรง
มาเลเซีย
เพื่อลดช่องว่างในการให้บริการสำหรับกลุ่มเสี่ยงนี้ องค์การแพทย์ไร้พรมแดนได้จัดให้มีบริการด้านดูแลสุขภาพ สุขศึกษา สนับสนุนด้านจิตวิทยาและสังคม ตลอดจนให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตในรูปแบบคลินิกเคลื่อนที่ชุมชนและคลินิกประจำในปีนัง องค์การแพทย์ไร้พรมแดนเรียกร้องให้มีการเพิ่มความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัย และส่งประวัติของกลุ่มคนเปราะบางต่างๆ ให้แก่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) พิจารณาเพื่อประเมินสถานการณ์ของพวกเขา
คลินิกขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนในเมืองบัตเตอร์เวิร์ตให้การดูแลรักษาผู้ป่วยมากถึง 1,000 คนต่อเดือน ชาวโรฮิงญาและผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และบ่อยครั้งจำเป็นต้องพึ่งพาการให้บริการขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนและองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ผู้ลี้ภัยมีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการสาธารณะในราคาที่สูงกว่าคนในท้องถิ่นมาก แม้ว่าจะมีส่วนลดชาวต่างชาติในกรณีที่ถือบัตรซึ่งออกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ผู้ที่ไม่มีเอกสารใดเลยจึงเสี่ยงต่อการถูกจับกุมและควบคุมตัว เรื่องนี้เป็นผลจากหนังสือเวียนที่ 10/2001 ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพต้องรายงานเมื่อพบบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้ผู้ลี้ภัยลังเลที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกของเรานั้นรวมถึงหญิงตั้งครรภ์ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ หรือผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งจำเป็นต้องได้ รับยาอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวผ่านระบบบริการสาธารณะ องค์การแพทย์ไร้พรมแดนยังให้การดูแลผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานจำนวนมาก เนื่องจากชาวโรฮิงญามักทำงานอยู่ในธุรกิจตลาดมืด ซึ่งทำให้พวกเขาถูกเอาเปรียบ มีหนี้สิน และประสบอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรงพยาบาลรัฐและคลินิกท้องถิ่นในปีนัง นอกจากการส่งต่อผู้ป่วยแล้ว องค์การแพทย์ไร้พรมแดนยังจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับบริบทของผู้ลี้ภัยในมาเลเซีย ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่มีความตระหนักว่าผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญามีชะตากรรมที่ยากลำบากจากเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงในเมียนมาและตระหนักว่าประสบการณ์นั้นอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ลี้ภัยได้
องค์การแพทย์ไร้พรมแดน ได้ร่วมมือกับเมอร์ซี มาเลเซีย (MERCY Malaysia) หรือสมาคมสงเคราะห์การแพทย์มาเลเซีย เพื่อให้การดูแลทางการแพทย์ในศูนย์กักกันคนเข้าเมืองในเบลันติกและจูรูตามลำดับ องค์การแพทย์ไร้พรมแดนให้บริการคลินิกเคลื่อนที่รายเดือนและปรับปรุงระบบน้ำและสุขาภิบาลในศูนย์กักกันเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสถานที่เหล่านี้เป็นที่พักของผู้ขอลี้ภัยและผู้อพยพที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนจำนวนมาก
การแพร่ระบาดของโควิด -19 ทำให้การเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการป้องกันโรคสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น ความรู้สึกต่อต้านผู้ลี้ภัยและการบุกตรวจคนเข้าเมืองได้เพิ่มความหวาดกลัวในชุมชนผู้ลี้ภัยและผลักดันให้พวกเขาหลบซ่อนตัวมากกว่าเดิม ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 องค์การแพทย์ไร้พรมแดนได้ขยายการให้ความช่วยเหลือโดยกระทำในรูปแบบของการแจกจ่ายอาหารและผลิตภัณฑ์สุขอนามัย รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับโควิด-19 ในหลายภาษา ซึ่งรวมถึงภาษาโรฮิงญาและภาษาพม่า ด้วยความร่วมมือกับอาร์-วิชั่น (R-vision) ซึ่งเป็นสำนักข่าวโรฮิงญาออนไลน์ที่มีการรายงานข่าวทั่วโลก ภารกิจดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพในการสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งชาวโรฮิงญาหลายหมื่นคนทั่วโลกได้ตอบรับเป็นอย่างดี
ในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา
ขณะนี้ทีมงานองค์การแพทย์ไร้พรมแดนอยู่ในระหว่างให้บริการรักษาพยาบาลแก่ชาวโรฮิงญาและชาวกะมัน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิมที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยสี่แห่งที่ตั้งอยู่ตอนกลางของรัฐยะไข่และในเมืองสิตตเว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐยะไข่ด้วยเช่นกัน การดำเนินงานที่กล่าวมานี้อยู่ในรูปแบบของงานให้บริการภาคสนามและคลินิกเคลื่อนที่
- ชาวโรฮิงญาคือใคร?
ชาวโรฮิงญาเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศบังกลาเทศทางทิศเหนือ ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเมียนมาซึ่งเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี รัฐบาลเมียนมาไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้และประกาศว่าชาวโรฮิงญาเป็นผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ
ก่อนการปราบปรามทางทหารในเดือนสิงหาคม 2560 (2017) มีชาวโรฮิงญาประมาณ 1.1 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมียนมาการใช้ความรุนแรงที่เจาะจงเป้าหมาย
ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนหลบหนีหลังจากที่รัฐบาลเมียนมายกระดับปฏิบัติการทางทหารในการโจมตีพวกเขา เพื่อเป็นการตอบโต้การโจมตีที่กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน (Arakan Rohingya Salvation Army) อ้างว่าเป็นฝีมือของตน ในปี 2560 (2017)
ชาวโรฮิงญาเดินทางไปยังค็อกซ์บาซาร์ด้วยวิธีการการเดินเท้า ลงเรือ และบางครั้งจำเป็นต้องลุยแม่น้ำที่แบ่งพรมแดนระหว่างบังกลาเทศกับเมียนมาด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติจึงได้จัดให้ชาวโรฮิงญาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดในโลกในปี 2556 (2013)
จากผลการสำรวจขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน มีชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 9,000 คนเสียชีวิตระหว่างวันที่ 25 สิงหาคมถึง 24 กันยายน 2560 (2017) จากการประมาณการตัวเลขอย่างต่ำที่สุดแล้วนั้น พบว่าชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 6,500 คนถูกสังหาร ซึ่งรวมถึงเด็กที่มีอายุต่ำกว่าห้าปี 730 คน
ผลการสำรวจดังกล่าวเป็นการยืนยันรายงานขององค์กรข่าวระหว่างประเทศว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้ความรุนแรงที่เจาะจงให้โรฮิงญาเป็นเป้าหมาย ซึ่งรัฐบาลเมียนมายังคงยืนกรานปฏิเสธ- เหตุใดชาวโรฮิงญาจึงไร้สัญชาติ
ชาวโรฮิงญาถือเป็นชาวต่างชาติตามการประกาศใช้กฎหมายพลเมืองในปี 2525 (1982) กฎหมายดังกล่าวไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นหนึ่งใน “เชื้อชาติของเมียนมา”
ในขณะที่รัฐบาลเมียนมาเสนอสิทธิความเป็นพลเมืองโดยใช้วิธีการ ‘พิสูจน์ตัวตน’ ชาวโรฮิงญากลับลังเลที่จะรับบัตรยืนยันสัญชาติ (NVC1) เนื่องจากแม้ว่าพวกเขาจะถือบัตรดังกล่าว ก็อาจจะยังไม่ได้เข้าถึงบริการพื้นฐานเนื่องจากมีจุดตรวจค้น อุปสรรคของระบบราชการ ตลอดจนการเลือกปฏิบัติอื่นๆ มากมาย
“พวกเราไม่ใช่คนไร้รัฐ เรามาจากเมียนมา บรรพบุรุษเราก็มาจากเมียนมา”
อาบู อาหมัด อายุ 52 ปี ผู้หลบหนีไปยังบังกลาเทศเพื่อให้ลูกสาวได้รับการรักษาอาการอัมพาต- วิกฤตผู้ลี้ภัยโรฮิงญาคืออะไร
ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวนทั้งสิ้น 745,000 คนหลบหนีไปยังบังกลาเทศเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 (2017) การเดินทางถึงค่ายผู้ลี้ภัยของพวกทำให้จำนวนชาวโรฮิงญาที่อพยพไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเพิ่มจำนวนขึ้นหลายพันคนจากปีก่อนๆ และพวกเขายังคงมีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก
ขณะนี้เขตค็อกซ์บาซาร์เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ลี้ภัยเกือบหนึ่งล้านคน ทำให้ค่ายดังกล่าวเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกชาวโรฮิงญายังต้องเสี่ยงชีวิตของพวกเขาบนเรือซึ่งล่องอยู่ทั่วท้องทะเลอันดามันเพื่อหลบหนีไปยังประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย กัมพูชา และลาว
การพลัดถิ่นฐานของผู้คนจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ครั้งนี้ เป็นการพลัดถิ่นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดโลกในในประวัติศาสตร์ช่วงที่ผ่านมา- สถานการณ์ปัจจุบันของชาวโรฮิงญาเป็นอย่างไร
ในเมียนมา
ในขณะที่ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนหนีไปบังกลาเทศ ยังมีชาวโรฮิงญาอีกกว่า 600,000 คนอยู่ในเมียนมาและเป็นบุคคลไร้สัญชาติ
คนที่เหลืออยู่ไม่สามารถออกจากประเทศได้หากรัฐบาลไม่อนุญาต และต้องอาศัยอยู่ในค่ายกักกันที่มีสภาพคล้ายสลัมรอบเมืองชิตต่วย ค่ายเหล่านี้เพิ่งสร้างขึ้นในปี 2555 (2012) แต่ไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา
นอกจากนี้ ยังขาดบริการพื้นฐานและโอกาสต่างๆ รวมถึง เสรีภาพในการเดินทาง การรักษาพยาบาล การศึกษาพื้นฐาน และอาชีพ
ในบังกลาเทศอนาคตของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในบังกลาเทศยังคงไม่แน่นอน พวกเขาถูกกีดกันไม่ให้ได้รับการศึกษาในระบบ รวมทั้งไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน และไม่อาจเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดได้
“การใช้ชีวิตในค่ายนั้นยากลำบาก พื้นที่เล็กนิดเดียว และไม่มีที่ให้เด็กๆ เล่น”
อาบู ซิดดิก อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในเขตค็อกซ์บาซาร์ บังกลาเทศพวกเขาอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ผู้คนแออัด ซึ่งพวกเขาต้องรอหลายชั่วโมงกว่าจะได้รับน้ำ อาหาร และเชื้อเพลิงจากการแจกจ่ายในชุมชน น้ำมีไม่พอใช้ดื่มหรือปรุงอาหาร ส่วนน้ำสำหรับล้างมือนั้นแทบจะไม่มีใช้เลย
สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกสุขลักษณะเป็นสาเหตุให้เกิดสภาวะทางการแพทย์มากมายในค่ายผู้ลี้ภัย เช่น ท้องร่วงเฉียบพลัน การติดเชื้อทางเดินหายใจ โรคผิวหนัง และเป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
การระบาดของโควิด-19 มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเคย ลมกรรโชกแรงและพายุฝนช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนทำให้ค่ายผู้ลี้ภัยเสี่ยงอันตรายยิ่งขึ้น เพราะมีเพียงอาคารในค่ายขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่แห่งเดียวเท่านั้นที่ป้องกันพายุไซโคลนได้ ซึ่งอาคารนั้นคือโรงพยาบาลขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
ขณะนี้มีรายงานว่าผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาถูกกวาดต้อนให้ย้ายไปอยู่ที่เกาะบาซันชาร์
ในมาเลเซียผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาทยอยเดินทางเข้าประเทศมาเลเซียมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี บางครั้งมาทางบกหรือไม่ก็เดินทางข้ามทะเลอันดามันด้วยเรือขนาดเล็กที่แน่นขนัด ในขณะที่สภาพแวดล้อมในชุมชนเมืองของมาเลเซียช่วยให้ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยสามารถปิดบังตัวตนได้ แต่การให้ความคุ้มครองและมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมีอยู่อย่างจำกัด การที่มาเลเซียไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 (1951) หมายความว่ากฎหมายภายในประเทศมีผลให้ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยมีสถานะเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย
หลังจากได้รับการประเมินการขอลี้ภัย ชาวโรฮิงญาที่ถือบัตรที่ออกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จะมีเสรีภาพในการเดินทาง แต่ไม่มีสิทธิในการประกอบอาชีพอย่างถูกกฎหมาย รวมทั้งสิทธิในการศึกษา และสิทธิที่เท่าเทียมกับพลเมืองในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ส่วนผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสารใดๆ เลย มีความเสี่ยงที่จะถูกจับและควบคุมตัว สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ถูกระงับสิทธิในการเข้าไปในศูนย์กักกันคนเข้าเมืองในมาเลเซียตั้งแต่ปี 2562 (2019) ด้วยเหตุนี้ ผู้ลี้ภัยบางส่วนจึงถูกควบคุมตัวเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี
Find out more
อนาคตของชาวโรฮิงญาจะเป็นอย่างไร
แนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวสำหรับวิกฤตผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่มีมาอย่างยาวนานเป็นสิ่งจำเป็น ปัญหาสำคัญคือการไม่มีสิทธิพลเมืองในเมียนมาและการขาดการยอมรับสถานะผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศและมาเลเซีย
สำหรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างสิ้นหวังในยะไข่ องค์การแพทย์ไร้พรมแดนมีความกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องเสรีภาพในการเดินทาง ผู้เคลื่อนไหวด้านมนุษยธรรมจึงจำเป็นต้องสามารถเข้าถึงผู้ลี้ภัยได้อย่างอิสระเพื่อประเมินและตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้ลี้ภัยอย่างเป็นกลาง
องค์การแพทย์ไร้พรมแดนเชื่อว่า สิ่งสำคัญคือการกลับประเทศหรือการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับเมียนมาจะต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจเท่านั้น เมื่อผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาได้รับการรับประกันว่าจะกลับบ้านได้อย่างสวัสดิภาพ และ ต้นตอของความรุนแรงได้รับการจัดการแล้ว เพราะสิ่งนี้หมาย ความว่าปัญหาการเลือกปฏิบัติและการปฏิเสธสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ดำรงอยู่เสมอมาได้รับการแก้ไขแล้ว