ภัยธรรมชาติ
ภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ หรืออื่นๆ ต่างมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อทุกชุมชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยหรือหลายพันคน ทำให้บ้านเรือนและการหาเลี้ยงชีพเสียหาย ทำให้ชาวบ้านไม่มีน้ำสะอาดและถูกตัดขาดจากบริการสาธารณสุขและการคมนาคม
แต่ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติระดับใหญ่หรือเหตุฉุกเฉินระดับท้องถิ่น องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ก็พร้อมรับสถานการณ์เสมอ เรามีประสบการณ์ด้านการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินมา 50 ปี และมีเครือข่ายเจ้าหน้าที่ผู้ให้ความช่วยเหลือและเครือข่ายซัพพลายขนาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งพร้อมออกปฏิบัติงานทันทีที่จำเป็น

ในกรุงมะนิลาและพื้นที่โดยรอบ ทีมต่างๆ ของ MSF กำลังปฏิบัติงานเพื่อให้บริการรักษาพยาบาลและแจกจ่ายของใช้ให้ชาวบ้านซึ่งเดือดร้อนมากที่สุดจากพายุไต้ฝุ่นสามลูกและพายุโซนร้อนอีกหลายลูกในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2552 (2009) ประชาชนหลายหมื่นคนยังต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่สลัมริมคลองแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลาซึ่งถูกน้ำท่วมอย่างหนักและพื้นที่ลากูนา เดอ เบย์เหนือและตะวันออกเฉียงใต้ คนเหล่านี้เดือดร้อนเป็นพิเศษเพราะต้องไปอยู่ในศูนย์อพยพที่แออัดหรืออยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วมไปส่วนหนึ่ง © Benoit Finck/MSF
การตอบสนองในทันที
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 (2013) ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนซึ่งเป็นไต้ฝุ่นที่ร้ายแรงที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์พัดเข้าถล่มฟิลิปปินส์
“ภัยพิบัติระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในฟิลิปปินส์มาก่อน ผลกระทบมันเหมือนเกิดแผ่นดินไหวใหญ่แล้วตามด้วยน้ำท่วมอีกหลายครั้ง” ดร. นาตาชา เรเยส แพทย์ผู้ประสานงานฉุกเฉินขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ในฟิลิปปินส์กล่าว
หนึ่งวันหลังจากไต้ฝุ่นพัดขึ้นฝั่ง เราก็ส่งหลายทีมเข้าไปช่วยประสานงานบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นปฏิบัติการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่ที่สุดขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ในฟิลิปปินส์และในภูมิภาคนี้
เรา ดำเนินการผ่าตัดไป
- 11,624 ครั้ง ฉีดวัคซีนบาดทะยัก โรคหัด โปลิโอ และตับอักเสบ
- 29,188 เข็ม ให้บริการจิตบำบัดและ/หรือให้คำปรึกษา
- 27,044 ครั้ง ทำคลอด
- 2,445 ราย ตั้งคลินิกเคลื่อนที่ในสถานที่ต่างๆ
- 133 แห่ง ก่อสร้างโรงพยาบาลกึ่งถาวรหนึ่งแห่ง ซ่อมแซมโรงพยาบาลเจ็ดแห่ง
แจกจ่ายชุดสิ่งของบรรเทาทุกข์
- 71,979 ชุด แจกอาหารให้ประชาชน
- 50,000 คน และแจกน้ำสะอาด
- 14,473,500 ลิตร
เรื่องเล่าจากภาคสนาม: การตอบสนองต่อภัยพิบัติสามครั้งซ้อนในจังหวัดสุลาเวสีกลาง
เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสึนามิที่จังหวัดสุลาเวสีกลางในอินโดนีเซีย ดร. รังกิ ดับเบิลยู ซูดราจัต เข้าร่วมกับทีมตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ซึ่งถูกส่งเข้าไปตามชุมชนต่างๆ ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเพราะภัยพิบัติ
วันนั้นคือวันที่ 7 ตุลาคม เก้าวันหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์แล้วตามด้วยสึนามิสูงหกเมตรจนทำให้จังหวัดสุลาเวสีกลางเป็นอัมพาต ขณะที่ ดร. รังกิกำลังจะขึ้นเครื่องบินไปเมืองปาลู เธอได้ยินข่าวโทรทัศน์ที่ท่าอากาศยานมาคาสซาร์รายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 1,900 คนและยังเพิ่มขึ้นอีก
เมื่อเธอไปถึงเมืองปาลู ที่สนามบินมีคนเยอะมากกำลังพยายามหาตั๋วเครื่องบินออกจากเมือง เธอเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หลับอยู่บนตักแม่มีพันผ้าพันแผลผืนใหญ่มากพันศีรษะ ภายในสนามบินวุ่นวายมาก เครื่องบินของกองทัพจอดรอบรันเวย์ที่เพิ่งซ่อมได้ไม่นาน และหอควบคุมการจราจรทางอากาศซึ่งถล่มลงมาบางส่วนจนกลายเป็นข่าวดังในภายหลังก็อยู่ในสภาพเสียหาย

ความเสียหายร้ายแรง เขตตาลิเซในเขตมันติคูลอร์ของเมืองปาลูเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งเสียหายหนักมากหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในจังหวัดสุลาเวสีกลางเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 (2018) ©Dirna Mayasari/MSF
ตัดขาดจากโลกภายนอก
วันต่อมา ดร. รังกิ พยาบาล และหน่วยจัดการน้ำและสุขาภิบาลเข้าร่วมกับทีมคลินิกเคลื่อนที่เพื่อเดินทางไปที่ศูนย์อนามัยชุมชนในเมืองบาลูอาเซในเขตซิกิ รีเจนซี ของจังหวัดสุลาเวสีกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามจังหวัดที่เกิดภัยพิบัติสามครั้งซ้อนคือแผ่นดินไหว สึนามิ และปรากฏการณ์แผ่นดินเหลว (liquefaction) หัวหน้าศูนย์อนามัยชุมชนบอกทีมว่า ถ้าเป็นในยามปกติการเดินทางไปเมืองนี้ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่หลังจากแผ่นดินไหว กว่าจะไปถึงที่เกิดเหตุได้ต้องใช้เวลาสองเท่า
ป้ายในซิกิเขียนว่า “ต้องการหมอมารักษา” © Rangi W. Sudrajat/MSF
เมื่อมองผ่านหน้าต่างบานเล็กของรถยนต์ ดร. รังกิเห็นพงหญ้าสูงรายรอบและถนนดินที่เพิ่งทำใหม่ ทหารตัดหญ้าและเททรายบนพื้นเพื่อใช้เป็นถนน หลังจากแผ่นดินไหวทำให้ซิกิถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
เธอเห็นซากตึกและความเสียหายทุกที่ในซิกิ แผ่นดินแยก บ้านพัง และอาคารแหลกเป็นชิ้น เมื่อมองจากระยะไกล ตึกที่เคยเป็นศูนย์อนามัยชุมชนบาลูอาเซดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่พอเข้าไปใกล้ก็เห็นได้ชัดว่าศูนย์อนามัยแห่งนี้ซึ่งเคยให้บริการประชาชนกว่า 15,000 คนเสียหายอย่างมาก
แต่ MSF เตรียมแผนงานไว้แล้วเพื่อนำบริการสาธารณสุขกลับคืนมาสู่พื้นที่นี้ และในวันที่ 15 ตุลาคม 2561 (2018) ทีมของ MSF ก็เริ่มวางฐานรากของอาคารศูนย์อนามัยชั่วคราว
ขณะที่ทีมโลจิสติกส์และหน่วยจัดการน้ำและสุขาภิบาลกำลังทำงานหนักเพื่อสร้างศูนย์อนามัยขึ้นมาใหม่ ดร. รังกิและทีมแพทย์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์อนามัยช่วยสนับสนุนก็เริ่มทำกิจกรรมคลินิกเคลื่อนที่ทุกวันในพื้นที่ทั้ง 13 หมู่บ้านของเขตโดโลใต้
ดร. รังกิเคยร่วมงานกับ MSF ในภาวะฉุกเฉินมาแล้วหลายครั้ง แต่การรักษาผู้บาดเจ็บเพราะภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศของเธอเองถือเป็นความรู้สึกที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและน่าเศร้าใจมาก งานนี้จึงมี ผลกระทบทบต่อจิตใจของ ดร. รังกิเองในฐานะคนคนหนึ่ง เมื่อความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น เธอก็จะทำอย่างที่เคยทำในภารกิจอื่นๆ นั่นคือแบ่งเวลามาเล่นกับกลุ่มคนที่เธอชอบ ซึ่งก็คือเด็กๆ
เข้าพื้นที่ภัยพิบัติ
องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) มีทีมฉุกเฉินซึ่งเชี่ยวชาญการประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็วและจัดทีมตอบสนองได้ทันที เวชภัณฑ์และซัพพลายด้านโลจิสติกส์ซึ่งจัดเตรียมไว้เป็นชุดพร้อมขนส่งก็ถูกเก็บไว้ในคลังตามจุดที่ตั้งสำคัญทั่วโลกแล้ว
การมีทีมงานที่พร้อมจะวางทุกอย่างแล้วออกเดินทางไปทำงานในพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ทันทีทำให้เราไปถึงสถานที่ซึ่งมีคนต้องการความช่วยเหลือจากเรามากที่สุดได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการรักษาพยาบาลฉุกเฉินเป็นเรื่องที่รอไม่ได้
เรื่องเล่าจากภาคสนาม: การตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินในฟิลิปปินส์หลังจากไต้ฝุ่นโคนีและไต้ฝุ่นหว่ามก๋อสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในฟิลิปปินส์
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน หนึ่งในไต้ฝุ่นลูกใหญ่ที่สุดของปี 2563 (2020) พัดถล่มฟิลิปปินส์ ไต้ฝุ่นโคนี หรือที่เรียกกันในฟิลิปปินส์ว่าไต้ฝุ่นโรลลี สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั่วภูมิภาคบิโคล โดยเฉพาะในจังหวัดคาตันดัวเนสและจังหวัดอัลไบย์ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 300 กิโลเมตร ก่อนที่ไต้ฝุ่นโคนีจะพัดขึ้นฝั่ง พายุลูกนี้มีความรุนแรงอยู่ที่ระดับ 5 ซึ่งรุนแรงที่สุด

ภาพจากกิจกรรมให้ความช่วยเหลือและประเมินสุขภาพประชาชนบนเกาะซานมิเกลในจังหวัดคาตันดัวเนสของฟิลิปปินส์ หลังจากไต้ฝุ่นโคนีและหว่ามก๋อพัดขึ้นฝั่ง บ้านเรือนจำนวนมากเสียหายอย่างเห็นได้ชัด แต่มีผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่ราย (MSF)

ภาพจากกิจกรรมให้ความช่วยเหลือและประเมินสุขภาพประชาชนบนเกาะซานมิเกลในจังหวัดคาตันดัวเนสของฟิลิปปินส์ หลังจากไต้ฝุ่นโคนีและหว่ามก๋อพัดขึ้นฝั่ง บ้านเรือนจำนวนมากเสียหายอย่างเห็นได้ชัด แต่มีผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่ราย (MSF)
สามสัปดาห์ให้หลัง หลายพื้นที่ในอัลไบย์และคาตันดัวเนสยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตต่างก็ไม่เสถียร ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากไต้ฝุ่นโคนีทำให้ MSF ส่งทีมประเมินสถานการณ์ลงพื้นที่แต่ละจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทีมเผชิญอุปสรรคครั้งใหม่ เมื่อไต้ฝุ่นหว่ามก๋อพัดขึ้นฝั่งเมื่อวันที่ 11 และ 12 พฤศจิกายน ทำให้การประเมินสถานการณ์และภารกิจช่วยเหลือของ MSF ต้องหยุดชะงักลง “ทีมของเราต้องหยุดทำงานและรอให้ไต้ฝุ่นหว่ามก๋อพัดผ่านไปก่อน ซึ่งพายุลูกนี้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางตอนเหนือของกรุงมะนิลามากที่สุด” ฌอง-ลุค อองแกลด หัวหน้าภารกิจของ MSF ในฟิลิปปินส์กล่าว
ดร. เรย์ อานิเซเต หัวหน้าทีมฉุกเฉินของ MSF ในอัลไบย์ เล่าว่า “เริ่มแรกเราไปยังเมืองกิวโนบาตัน ซึ่งไต้ฝุ่นทำให้เกิดโคลนภูเขาไฟถล่มอย่างรุนแรง เป็นครั้งแรกในชีวิตของคนท้องถิ่นในหมู่บ้านซานฟรานซิสโกและทราวีเซียที่ได้เจอกับโคลนภูเขาไฟแบบนี้ ระหว่างสำรวจพื้นที่และเดินข้ามหินก้อนใหญ่ มีคนบอกเราว่าตรงนั้นที่เรายืนเคยเป็นบ้านคนมาก่อน ฟังแล้วหดหู่มาก”
องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) เริ่มแจกจ่ายกระติกน้ำสำหรับเก็บน้ำดื่มและชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ที่ศูนย์อพยพในทั้งสองจังหวัด ซึ่งผู้ประสบภัยแต่ละคนจะได้รับหน้ากากผ้าแบบซักได้สองชิ้น เจลล้างมือ และหน้ากากเฟซชิลด์ นอกจากนี้ทีมยังวางแผนช่วยฝึกสอนการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด-19 และจะบริจาคอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ให้ทีมงานของศูนย์อพยพด้วย

ครอบครัวผู้ประสบภัยต้องพักอยู่ที่ศูนย์อพยพ ซึ่ง MSF นำกระติกน้ำและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลไปแจกเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ภายในศูนย์ © MSF
“โควิด-19 กระทบต่อชีวิตของผู้คนในฟิลิปปินส์อย่างร้ายแรงมาตั้งแต่เดือนมีนาคม และคนในศูนย์อพยพก็ยิ่งจำเป็นต้องรักษาสุขอนามัยและรักษาระยะห่างเพื่อป้องกันการระบาด ซึ่งทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้อพยพมีบทบาทมากในการบรรลุเป้าหมายด้านการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อให้สำเร็จ” อัลเลน บอร์ฮา พยาบาลฝ่ายป้องกันและควบคุมการติดเชื้อของ MSF ในอัลไบย์กล่าว
ส่วนในจังหวัดเกาะอย่างคาตันดัวเนส มีเขตเทศบาล 6 เขตจาก 11 เขตที่เสียหายหนักจากไต้ฝุ่นโคนี ซึ่งถ้าพิจารณาจากความเสียหายต่อบ้านเรือนและการดำรงชีพ เกาะนี้ถือว่าเสียหายหนักที่สุด แต่โชคดีที่ชาวจังหวัดยังสามารถออกจากศูนย์อพยพกลับอยู่บ้านและเริ่มซ่อมแซมบ้านกันได้โดยเร็ว
“ทีมของ MSF เริ่มงานตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินในซานมิเกลตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งใน 4 เขตเทศบาลที่เราเข้าไปช่วยเหลือ แพทย์หนึ่งคนและพยาบาลหนึ่งคนจาก MSF ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอนามัยเขตเทศบาลเพื่อสนับสนุนเวชภัณฑ์สำหรับกิจกรรมช่วยเหลือหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทีมนี้เริ่มแจกจ่ายยาเม็ดฆ่าเชื้อในน้ำดื่มและกระติกเก็บน้ำดื่มให้ชาวบ้านประมาณ 2,500 ครอบครัว” ดร. ฮานา บาดานโด ผู้นำทีมฉุกเฉินในเขตเทศบาลวิรัค จังหวัดคาตันดัวเนสกล่าว
การรักษาผู้บาดเจ็บ
หนึ่งในงานที่เราต้องรีบทำก่อนงานอื่นคือการประเมินว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวนมากหรือไม่และกำลังของหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นลดลงหรือไม่หลังจากเกิดภัยพิบัติ เพราะถ้าผู้ที่มีบาดแผลหรือกระดูกหักไม่ได้รับการรักษาและการดูแลแผลหลังผ่าตัด แผลของพวกเขาจะติดเชื้ออย่างรวดเร็ว
องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) จะส่งหน่วยแพทย์เข้าไปช่วยผ่าตัด ดูแลแผลหลังผ่าตัด และทำกายภาพบำบัด เราอาจตั้งโรงพยาบาลเคลื่อนที่โดยใช้เต็นท์เป่าลมซึ่งเหมาะสำหรับใช้งานหลังจากเกิดแผ่นดินไหวโดยยังมีการไหวตามมาอีก
การฟื้นฟูบริการสาธารณสุขทั่วไป จัดหาที่พัก และแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ขั้นพื้นฐานคืองานอันดับแรกๆ ที่ต้องทำ แต่เราไม่ได้เน้นแค่ความบาดเจ็บทางกายเท่านั้น การให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประสบภัยฟื้นตัวจากความบอบช้ำได้
จังหวัดสุลาเวสีกลาง: ศูนย์บริการสาธารณสุขของ MSF ยังคงช่วยเหลือชุมชนที่ถูกภัยพิบัติถล่มต่อไป
หกเดือนหลังจากเกิดภัยพิบัติสามครั้งซ้อนจากแผ่นดินไหว สึนามิ และแผ่นดินเหลวในจังหวัดสุลาเวสีกลาง ศูนย์บริการสาธารณสุขชั่วคราวที่ MSF สร้างไว้เขตโดโลใต้ก็ยังคงช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบต่อไป เพราะเมื่อศูนย์อนามัยที่เมืองบาลูอาเซเสียหายอย่างหนัก ชาวบ้านใน 12 หมู่บ้านจึงไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้
นอกจากให้บริการด้านการแพทย์และศูนย์บริการสาธารณสุขเคลื่อนที่แล้ว ทีมของ MSF ในท้องถิ่นซึ่งร่วมมือกับหัวหน้าทีมจากศูนย์อนามัยบาลูอาเซและหัวหน้าหน่วยงานสาธารณสุขในเขตซิกิยังตัดสินใจสร้างอาคารศูนย์อนามัยชั่วคราวที่ให้บริการทั้งแผนกผู้ป่วยนอก แผนกสูติกรรม และแผนกฉุกเฉิน รวมทั้งมีระบบน้ำกับห้องน้ำด้วย
ดร. อะเดไลด์ กฤษณาวาตี บอร์แมน หรือ ดร. กฤษณา หัวหน้าศูนย์อนามัยบาลูอาเซในเขตโดโลใต้ จังหวัดสุลาเวสี กล่าวว่า “ตอน MSF เข้ามาประเมินสภาพของศูนย์อนามัยชุมชนหลังจากแผ่นดินไหว ที่นี่เสียหายหนักมาก เราจะเข้าไปในตึกก็ยังไม่ได้ MSF จึงสร้างอาคารชั่วคราวให้เราในเวลาแค่หนึ่งหรือสองสัปดาห์ เราเลยย้ายเข้ามาให้บริการกันในนี้”

ดร. กฤษณาย้ำว่าศูนย์ชั่วคราวที่บาลูอาเซซึ่ง MSF สร้างให้นั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม มีแผนกผู้ป่วยนอก แผนกสูติกรรม และแผนกฉุกเฉิน และมีระบบน้ำกับห้องน้ำด้วย ภาพนี้คือหนึ่งในห้องผู้ป่วยในของศูนย์อนามัยชั่วคราวแห่งนี้
ดร. กฤษณาเล่าว่าศูนย์แห่งนี้ให้บริการชาวบ้านจาก 12 หมู่บ้าน มีผู้ป่วยนอก 20-30 คนต่อวัน และรับผู้ป่วยใน 5-10 คนทุกวัน ตั้งแต่ศูนย์นี้เริ่มเปิดรักษาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 (2018) ก็มีผู้ป่วยเข้ามาแล้วทั้งหมดกว่า 3,000 คน
ดร. กฤษณาย้ำว่าศูนย์ชั่วคราวที่บาลูอาเซซึ่ง MSF สร้างให้นั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม มีแผนกผู้ป่วยนอก แผนกสูติกรรม และแผนกฉุกเฉิน และมีระบบน้ำกับห้องน้ำด้วย เธอเสริมว่าศูนย์นี้ให้บริการทุกวัน ทั้งการรักษาผู้ป่วยนอกและโพลีคลินิกสำหรับเด็ก “ที่นี่มีห้องจ่ายยา ห้องสูติศาสตร์ ห้องฉุกเฉิน และห้องผู้ป่วยใน มีครัวที่ใช้ทำอาหารได้ และมีห้องน้ำด้วย ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เราได้ตึกชั่วคราวนี้มา เราขอบคุณ MSF มากๆ และตึกนี้เป็นประโยชน์ต่อเราและชาวบ้านที่นี่จริงๆ” เธอกล่าว

ศูนย์แห่งนี้มีห้องจ่ายยาให้ผู้ป่วยมารับยาหลังจากพบแพทย์แล้ว © Eka Nickmatulhuda
ดร. กฤษณาเล่าว่าทีมของเธอมีความสุขที่ได้ให้บริการสาธารณสุขแก่ชุมชนต่อไปในศูนย์ชั่วคราวของ MSF แห่งนี้ และกล่าวว่าตอนแรกก็ไม่คิดว่าอาคารจะสร้างได้ดีขนาดนี้ แต่หลังจากก่อสร้างเสร็จ ทีมของเธอก็เริ่มกลับมาให้บริการด้านการแพทย์ได้อีกครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือน “เราอาจจะใช้ตึกนี้ไปอีกปี” ดร. กฤษณากล่าว
การประสานงานกับทีมปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ในประเทศ
งานด้านการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) พัฒนาขึ้นผ่านการประสานงานกับหน่วยงานตอบสนองภายในประเทศอย่างครอบคลุม โดยคำนึงถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานและกลยุทธ์ระดับท้องถิ่น และข้อจำกัดด้านการเข้าแทรกแซงระหว่างประเทศที่ว่าด้วยเรื่องเวลา คุณภาพ และการตอบโจทย์
เราวิเคราะห์คุณค่าซึ่งเพิ่มขึ้นจากการที่เรานำความช่วยเหลือเข้าไป และตั้งคำถามอยู่เสมอว่าการที่เราเข้าไปช่วยเหลือนั้นตอบโจทย์เพียงใด โดยที่เป้าหมายของเราคือการ ‘ส่งต่อ’ กิจกรรมด้านการแพทย์ให้หน่วยงานหรือพันธมิตรในท้องถิ่นหลังจากพวกเขาไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเราแล้ว