Skip to main content

    ภัยธรรมชาติ

    ภัยธรรมชาติทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ หรืออื่นๆ ต่างมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อชุมชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายร้อยหรือหลายพันคน ทำให้บ้านเรือนเสียหาย ส่งผลต่อความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ ชาวบ้านไม่มีน้ำสะอาดและถูกตัดขาดจากบริการสาธารณสุขและการคมนาคม

    แต่ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติระดับประเทศหรือเหตุฉุกเฉินระดับท้องถิ่น องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ก็พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เรามีประสบการณ์สำหรับการให้ความช่วยเหลือใต้สภาวะฉุกเฉินมากว่า 50 ปี และมีเครือข่ายเจ้าหน้าที่ผู้ให้ความช่วยเหลือและทีมจัดหาอุปกรณ์ขนาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งพร้อมออกปฏิบัติงานทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

    In Manila and its surrounding areas, MSF teams are working to provide medical care

    ในกรุงมะนิลาและพื้นที่โดยรอบ ทีมทำงานของ MSF กำลังปฏิบัติงานเพื่อให้บริการรักษาพยาบาลและแจกจ่ายของใช้ให้ชาวบ้าน ซึ่งเดือดร้อนจากพายุไต้ฝุ่นสามลูกและพายุโซนร้อนอีกหลายลูกในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2552 ประชาชนหลายหมื่นคนยังต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่สลัมริมคลองแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลาและพื้นที่ลากูนา เดอ เบย์เหนือและตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งมีปริมาณน้ำเข้าท่วมอย่างหนัก คนเหล่านี้เดือดร้อนเป็นอย่างมากเพราะต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพที่แออัดหรือยังคงอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วมไปส่วนหนึ่ง © Benoit Finck/MSF

    การปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน


    เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ซึ่งเป็นไต้ฝุ่นที่มีขนาดรุนแรงที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์พัดเข้าถล่มฟิลิปปินส์

    “ภัยพิบัติระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในฟิลิปปินส์มาก่อน ผลกระทบมันเหมือนเกิดแผ่นดินไหวใหญ่แล้วตามด้วยน้ำท่วมอีกหลายครั้ง” ดร. นาตาชา เรเยส (Dr Natasha Reyes) แพทย์ผู้ประสานงานฉุกเฉินขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ในฟิลิปปินส์กล่าว

    หนึ่งวันหลังจากไต้ฝุ่นพัดขึ้นฝั่ง เราก็ส่งหลายทีมเข้าไปช่วยประสานงานบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นปฏิบัติการในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งใหญ่ที่สุดขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ในฟิลิปปินส์และในภูมิภาคนี้

    • ดำเนินการผ่าตัด 11,624 ครั้ง
    • ฉีดวัคซีนบาดทะยัก โรคหัด โปลิโอ และตับอักเสบ 29,188 เข็ม
    • ให้บริการและ/หรือให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต 27,044 ครั้ง
    • ทำคลอดเด็ก 2,445 ราย
    • ตั้งคลินิกเคลื่อนที่ 133 แห่ง
    • ก่อสร้างโรงพยาบาลกึ่งถาวร 1 แห่ง ซ่อมแซมโรงพยาบาล 7 แห่ง 
    • แจกจ่ายชุดสิ่งของบรรเทาทุกข์ 71,979 ชุด
    • แจกอาหารให้ประชาชน 50,000 คน
    • แจกน้ำสะอาด 14,473,500 ลิตร

     

    เรื่องเล่าจากภาคสนาม: การทำงานใต้ภัยพิบัติสามครั้งซ้อนในจังหวัดสุลาเวสีกลาง

    เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสึนามิที่จังหวัดสุลาเวสีกลาง (Central Sulawesi) ในอินโดนีเซีย ดร. รังกิ ดับเบิลยู ซูดราจัต (Doctor Rangi W. Sudrajat) เข้าร่วมกับทีมทำงานในภาวะฉุกเฉินขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) และเดินทางไปตามชุมชนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเพราะภัยพิบัติ

    วันนั้นคือวันที่ 7 ตุลาคม 9 วันหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ตามด้วยสึนามิสูง 6 เมตรจนทำให้จังหวัดสุลาเวสีกลางเป็นอัมพาต ขณะที่ ดร. รังกิกำลังจะขึ้นเครื่องบินไปเมืองปาลู เธอได้ยินข่าวโทรทัศน์ที่ท่าอากาศยานมาคาสซาร์รายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 1,900 คนและยังเพิ่มขึ้นอีก

    เมื่อเธอไปถึงเมืองปาลู ที่สนามบินมีคนเยอะมากกำลังพยายามหาตั๋วเครื่องบินออกจากเมือง เธอเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หลับอยู่บนตักแม่มีพันผ้าพันแผลผืนใหญ่มากพันศีรษะ ภายในสนามบินเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เครื่องบินของกองทัพจอดรอบรันเวย์ที่เพิ่งซ่อมได้ไม่นาน และหอควบคุมการจราจรทางอากาศอยู่ในสภาพเสียหาย ซึ่งภายหลังถล่มลงมาบางส่วนจนกลายเป็นข่าวดังบนหน้าสื่อ

    Image of Tsunami Central Sulawesi 2018

    ความเสียหายอย่างรุนแรง ในแขวนตาลิเซ (Talise) และมันติคูลอร์ (Mantikulore) ของเมืองปาลู ( Palu) เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนัก หลังจากเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในจังหวัดสุลาเวสีกลางเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 ©Dirna Mayasari/MSF

    ภาวะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

    วันต่อมา ดร. รังกิ (Rangi) พยาบาล และหน่วยจัดการน้ำและสุขาภิบาลเข้าร่วมกับทีมคลินิกเคลื่อนที่เพื่อเดินทางไปที่ศูนย์อนามัยชุมชนในเมืองบาลูอาเซ (Baluase) ในเขตซิกิ (Sigi) ของจังหวัดสุลาเวสีกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 จังหวัดที่เกิดภัยพิบัติ 3 ครั้งซ้อนคือแผ่นดินไหว สึนามิ และปรากฏการณ์แผ่นดินเหลว (liquefaction)  หัวหน้าศูนย์อนามัยชุมชนบอกทีมว่า ถ้าเป็นในยามปกติการเดินทางไปเมืองนี้ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่หลังจากแผ่นดินไหว กว่าจะไปถึงที่เกิดเหตุได้ต้องใช้เวลาสองเท่า

    A sign reading "Need medical help" in Sigi

    ป้ายในซิกิเขียนว่า “ต้องการหมอในการรักษา” © Rangi W. Sudrajat/MSF

    เมื่อมองผ่านหน้าต่างบานเล็กของรถยนต์ ดร. รังกิเห็นพงหญ้าสูงรายรอบและถนนดินที่เพิ่งทำใหม่ ทหารตัดหญ้าและเททรายบนพื้นเพื่อใช้เป็นถนน หลังจากแผ่นดินไหวทำให้ซิกิถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

    เธอเห็นความเสียหายของตึกรามบ้านช่องและความเสียหายในทุกพื้นที่ของซิกิ ภาพแผ่นดินแยก บ้านถูกทำลาย และอาคารถล่มเป็นเศษซาก  เมื่อมองจากระยะไกล ตึกที่เคยเป็นศูนย์อนามัยชุมชนบาลูอาเซดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่พอเข้าไปใกล้ก็เห็นได้ชัดว่าศูนย์อนามัยที่เคยให้บริการประชาชนกว่า 15,000 คนเสียหายอย่างมาก

    MSF ได้จัดเตรียมแผนงานไว้แล้วเพื่อนำบริการสาธารณสุขกลับคืนมาสู่พื้นที่ และในวันที่ 15 ตุลาคม 2561 ทีมของ MSF ก็เริ่มลงมือก่อสร้างฐานของอาคารศูนย์อนามัยชั่วคราว

    ขณะที่ทีมขนส่งและหน่วยจัดการน้ำและสุขาภิบาลกำลังทำงานหนักเพื่อสร้างศูนย์อนามัยขึ้นมาใหม่ ดร. รังกิและทีมแพทย์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์อนามัยช่วยสนับสนุนก็เริ่มทำกิจกรรมคลินิกเคลื่อนที่ตามพื้นที่ทั้ง 13 หมู่บ้านของเขตโดโลใต้ (South Dolo) โดยไม่มีวันหยุด

    ดร. รังกิเคยร่วมงานกับ MSF ในเหตุการณ์ฉุกเฉินมาแล้วหลายครั้ง แต่การรักษาผู้บาดเจ็บเพราะภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศของเธอเองถือเป็นความรู้สึกแสนเศร้าที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง การทำงานในครั้งนี้ส่งผลกระทบทบต่อจิตใจของ ดร. รังกิเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และเพื่อปลอบประโลมใจของผู้สูญเสีย เธอก็มักทำอย่างที่เคยทำในภารกิจครั้งอื่น นั่นคือแบ่งเวลามาเล่นกับกลุ่มเด็กน้อย

     

    เดินทางเข้าพื้นที่ภัยพิบัติ

    องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) มีทีมฉุกเฉินซึ่งเชี่ยวชาญการประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็วและจัดทีมปฏิบัติงานได้ทันที เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำงานได้จัดเตรียมไว้เป็นชุดพร้อมขนส่งเสมอถูกเก็บไว้ในคลังตามจุดที่ตั้งสำคัญทั่วโลก

    การมีทีมงานที่พร้อมจะวางทุกภารกิจแล้วออกเดินทางไปทำงานในพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ทันทีทำให้เราไปถึงสถานที่ซึ่งมีคนต้องการความช่วยเหลือจากเราอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการรักษาพยาบาลฉุกเฉินเป็นเรื่องที่รอไม่ได้

     

    เรื่องเล่าจากภาคสนาม: การทำงานในภาวะฉุกเฉินในฟิลิปปินส์หลังจากไต้ฝุ่นโคนีและไต้ฝุ่นหว่ามก๋อสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในฟิลิปปินส์

    เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน หนึ่งในไต้ฝุ่นลูกใหญ่ที่สุดของปี 2563 พัดถล่มฟิลิปปินส์  ไต้ฝุ่นโคนี (Goni) หรือที่เรียกกันในฟิลิปปินส์ว่าไต้ฝุ่นโรลลี (Rolly) สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั่วภูมิภาคบิโคล (Bicol) โดยเฉพาะในจังหวัดคาตันดัวเนส (Catanduanes) และจังหวัดอัลไบย์ (Albay) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 300 กิโลเมตร  ก่อนที่ไต้ฝุ่นโคนีจะพัดขึ้นฝั่ง พายุลูกนี้มีความรุนแรงอยู่ที่ระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับที่รุนแรงที่สุด

    Outreach activities and health assessments in Philippines,

    ภาพจากกิจกรรมให้ความช่วยเหลือและประเมินสุขภาพประชาชนบนเกาะซานมิเกลในจังหวัดคาตันดัวเนสของฟิลิปปินส์ หลังจากไต้ฝุ่นโคนีและหว่ามก๋อพัดขึ้นฝั่ง บ้านเรือนจำนวนมากเสียหายอย่างเห็นได้ชัด แต่พบผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่ราย (MSF)

    Outreach activities and health assessments in Philippines.

    ภาพจากกิจกรรมให้ความช่วยเหลือและประเมินสุขภาพประชาชนบนเกาะซานมิเกลในจังหวัดคาตันดัวเนสของฟิลิปปินส์ หลังจากไต้ฝุ่นโคนีและหว่ามก๋อพัดขึ้นฝั่ง บ้านเรือนจำนวนมากเสียหายอย่างเห็นได้ชัด แต่พบผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่ราย (MSF)

    3 สัปดาห์ให้หลัง หลายพื้นที่ในอัลไบย์และคาตันดัวเนสยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตต่างก็ไม่เสถียร ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากไต้ฝุ่นโคนีทำให้ MSF ส่งทีมประเมินสถานการณ์ลงพื้นที่แต่ละจังหวัด    

    อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทีมเผชิญอุปสรรคครั้งใหม่ เมื่อไต้ฝุ่นหว่ามก๋อพัดขึ้นฝั่งเมื่อวันที่ 11 และ 12 พฤศจิกายน ทำให้การประเมินสถานการณ์และภารกิจช่วยเหลือของ MSF ต้องหยุดชะงักลง “ทีมของเราต้องหยุดทำงานและรอให้ไต้ฝุ่นหว่ามก๋อพัดผ่านไปก่อน ซึ่งพายุลูกนี้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางตอนเหนือของกรุงมะนิลามากที่สุด” ฌอง-ลุค อองแกลด (Jean-Luc Anglade) หัวหน้าภารกิจของ MSF ในฟิลิปปินส์กล่าว 

    ดร. เรย์ อานิเซเต (Rey Anicete) หัวหน้าทีมฉุกเฉินของ MSF ในอัลไบย์ เล่าว่า “เริ่มแรกเราไปยังเมืองกิวโนบาตัน ซึ่งไต้ฝุ่นทำให้เกิดโคลนภูเขาไฟถล่มอย่างรุนแรง เป็นครั้งแรกในชีวิตของคนท้องถิ่นในหมู่บ้านซานฟรานซิสโกและทราวีเซียที่ได้เจอกับโคลนภูเขาไฟแบบนี้  ระหว่างสำรวจพื้นที่และเดินข้ามหินก้อนใหญ่ มีคนบอกเราว่าตรงนั้นที่เรายืนเคยเป็นบ้านคนมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหดหู่มาก”

    องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) เริ่มแจกจ่ายกระติกน้ำสำหรับเก็บน้ำดื่มและชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ที่ศูนย์อพยพในทั้งสองจังหวัด ซึ่งผู้ประสบภัยแต่ละคนจะได้รับหน้ากากผ้าแบบซักได้สองชิ้น เจลล้างมือ และหน้ากากป้องกันใบหน้า  นอกจากนี้ทีมยังวางแผนช่วยฝึกสอนการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด-19 และจะบริจาคอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ให้ทีมงานของศูนย์อพยพด้วย

    Families have to stay at evacuation centres where MSF provides jerry cans, and PPE to prevent outbreaks of COVID-19 in the centres.

    ครอบครัวผู้ประสบภัยต้องพักอยู่ที่ศูนย์อพยพ ซึ่ง MSF นำกระติกน้ำและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลไปแจกเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ภายในศูนย์ © MSF

    “โควิด-19 กระทบต่อชีวิตของผู้คนในฟิลิปปินส์อย่างรุนแรงมาตั้งแต่เดือนมีนาคม และคนในศูนย์อพยพก็ยิ่งจำเป็นต้องรักษาสุขอนามัยและรักษาระยะห่างเพื่อป้องกันการระบาด ซึ่งทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้อพยพต่างมีส่วนร่วมในการดำเนินภารกิจด้านการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อจนบรรลุเป้าหมาย” อัลเลน บอร์ฮา (Allen Borja) พยาบาลฝ่ายป้องกันและควบคุมการติดเชื้อของ MSF ในอัลไบย์กล่าว

    ส่วนในจังหวัดเกาะอย่างคาตันดัวเนส มีเขตเทศบาล 6 เขตจาก 11 เขตที่เสียหายหนักจากไต้ฝุ่นโคนี ซึ่งถ้าพิจารณาจากความเสียหายต่อบ้านเรือนและการดำรงชีพ เกาะนี้ถือว่าเสียหายหนักที่สุด แต่โชคดีที่ชาวจังหวัดยังสามารถออกจากศูนย์อพยพ ก่อนกลับไปอยู่บ้านและเริ่มซ่อมแซมบ้านกันได้โดยเร็ว

    “ทีมของ MSF เริ่มการทำงานในสภาวะฉุกเฉินในซานมิเกลตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งใน 4 เขตเทศบาลที่เราเข้าไปช่วยเหลือ  แพทย์ 1 คนและพยาบาล 1 คนจาก MSF ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอนามัยเขตเทศบาลเพื่อสนับสนุนเวชภัณฑ์สำหรับกิจกรรมช่วยเหลือหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบ  รวมไปถึงเริ่มแจกจ่ายเม็ดยาฆ่าเชื้อในน้ำดื่มและกระติกเก็บน้ำดื่มให้ชาวบ้านประมาณ 2,500 ครอบครัว” ดร. ฮานา บาดานโด (Hana Badando) ผู้นำทีมฉุกเฉินในเขตเทศบาลวิรัค (Virac) จังหวัดคาตันดัวเนสกล่าว

     

    การดูแลผู้บาดเจ็บ

    หนึ่งในงานที่เราต้องรีบลงมือเป็นอันดับต้น คือการประเมินว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวนมากน้อยเพียงใด และประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นเป็นเช่นไรหลังเกิดภัยพิบัติ เพราะถ้าผู้ที่มีบาดแผลหรือกระดูกหักไม่ได้รับการรักษาและการดูแลแผลหลังผ่าตัด แผลของพวกเขาจะลามและติดเชื้ออย่างรวดเร็ว

    องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) จะส่งหน่วยแพทย์เข้าไปช่วยผ่าตัด ดูแลแผลหลังผ่าตัด และทำกายภาพบำบัด ในบางครั้งเราตั้งโรงพยาบาลเคลื่อนที่โดยใช้เต็นท์เป่าลมซึ่งเหมาะสำหรับใช้งานในช่วงเฝ้าระวังอาฟเตอร์ช็อกหลังจากเกิดแผ่นดินไหว

    การฟื้นฟูบริการสาธารณสุขทั่วไป จัดหาที่พัก และแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ขั้นพื้นฐานคืองานอันดับต้นที่ต้องทำ แต่เราไม่ได้ทำงานเพื่อฟื้นฟูในส่วนของอาการบาดเจ็บทางกายภาพเท่านั้น การให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประสบภัยฟื้นตัวจากความบอบช้ำได้

     

    จังหวัดสุลาเวสีกลาง: ศูนย์บริการสาธารณสุขของ MSF ยังคงช่วยเหลือชุมชนที่ถูกภัยพิบัติถล่มต่อไป

    6 เดือนหลังจากเกิดภัยพิบัติ 3 ครั้งซ้อนจากแผ่นดินไหว สึนามิ และแผ่นดินเหลวในจังหวัดสุลาเวสีกลาง ศูนย์บริการสาธารณสุขชั่วคราวที่ MSF สร้างไว้เขตโดโลใต้ก็ยังคงช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบต่อไป เพราะเมื่อศูนย์อนามัยที่เมืองบาลูอาเซเสียหายอย่างหนัก ชาวบ้านใน 12 หมู่บ้านจึงไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ 

    นอกจากให้บริการด้านการแพทย์และศูนย์บริการสาธารณสุขเคลื่อนที่แล้ว ทีมของ MSF ในท้องถิ่นซึ่งร่วมมือกับหัวหน้าทีมจากศูนย์อนามัยบาลูอาเซและหัวหน้าหน่วยงานสาธารณสุขในเขตซิกิ ตัดสินใจสร้างอาคารศูนย์อนามัยชั่วคราวที่ให้บริการทั้งแผนกผู้ป่วยนอก แผนกสูติกรรม และแผนกฉุกเฉิน รวมทั้งมีการวางระบบการประปาและห้องน้ำ

    ดร. อะเดไลด์ กฤษณาวาตี บอร์แมน (Adelide Krisnawati Borman) หรือ ดร. กฤษณา หัวหน้าศูนย์อนามัยบาลูอาเซในเขตโดโลใต้ จังหวัดสุลาเวสี กล่าวว่า “ตอน MSF เข้ามาประเมินสภาพของศูนย์อนามัยชุมชนหลังจากแผ่นดินไหว ที่นี่เสียหายหนักมาก เราจะเข้าไปในตึกก็ไม่ได้  MSF จึงสร้างอาคารชั่วคราวให้เราในเวลาแค่ 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นเราจึงย้ายเข้ามาทำงานกันข้างในนี้”

    Temporary health centre built by MSF

    นี่คือหนึ่งในห้องผู้ป่วยในของศูนย์อนามัยชั่วคราว ดร. กฤษณาย้ำว่าศูนย์ชั่วคราวที่บาลูอาเซซึ่ง MSF สร้างให้นั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีแผนกผู้ป่วยนอก แผนกสูติกรรม และแผนกฉุกเฉิน และมีวางระบบการประปาและห้องน้ำ

    ดร. กฤษณาเล่าว่าศูนย์แห่งนี้ให้บริการชาวบ้านจาก 12 หมู่บ้าน มีผู้ป่วยนอก 20-30 คนต่อวัน และดูแลผู้ป่วยใน 5-10 คนในทุกวัน  ตั้งแต่ศูนย์นี้เริ่มเปิดรักษาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 มีผู้ป่วยเข้ามาแล้วทั้งหมดกว่า 3,000 คน

    ดร. กฤษณาย้ำว่าศูนย์ชั่วคราวที่บาลูอาเซซึ่ง MSF สร้างให้นั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม มีแผนกผู้ป่วยนอก แผนกสูติกรรม และแผนกฉุกเฉิน เธอเสริมว่าศูนย์นี้เปิดให้บริการทุกวัน ทั้งการรักษาผู้ป่วยนอกและคลินิกสำหรับเด็ก  “ที่นี่มีห้องจ่ายยา ห้องสูติศาสตร์ ห้องฉุกเฉิน และห้องผู้ป่วยใน มีครัวที่ใช้ทำอาหารได้ และมีห้องน้ำด้วย ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เราได้ตึกชั่วคราวนี้มา เราขอบคุณ MSF มาก ตึกนี้เป็นประโยชน์ต่อเราและชาวบ้านที่นี่” เธอกล่าว 

    Image of the pharmacy where the patients can get their medicines after consulting the doctor. 

    ห้องจ่ายยาให้ผู้ป่วยมารับยาหลังจากพบแพทย์แล้ว © Eka Nickmatulhuda 

    ดร. กฤษณาเล่าว่าทีมของเธอมีความสุขที่ได้ให้บริการสาธารณสุขแก่ชุมชนในศูนย์ชั่วคราวของ MSF แห่งนี้ต่อไป และกล่าวว่าตอนแรกก็ไม่คิดว่าอาคารจะมีการแบ่งส่วนที่ครบครันเท่านี้ และทำให้ทีมของเธอก็เริ่มกลับมาให้บริการด้านการแพทย์ได้อีกครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือน  “เราอาจจะใช้ตึกนี้ไปอีกราวหนึ่งปี” ดร. กฤษณากล่าว 

     

    การประสานงานกับทีมปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ในประเทศ

    การทำงานในสภาวะฉุกเฉินขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) พัฒนาขึ้นผ่านการประสานงานกับหน่วยงานภายในประเทศ โดยคำนึงถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานและกลยุทธ์ระดับท้องถิ่น รวมถึงข้อจำกัดด้านการเข้าแทรกแซงภายในประเทศ ที่ว่าด้วยเรื่องเวลา คุณภาพ และประเด็นปัญหา

    เราวิเคราะห์การทำงานของเราเสมอหลังจากความช่วยเหลือเข้าไป และตั้งคำถามโดยไม่หยุดพักว่าการที่เราเข้าไปช่วยเหลือสามารถช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้เพียงใด โดยที่เป้าหมายของเราคือการ ‘ส่งต่อ’ กิจกรรมด้านการแพทย์ให้หน่วยงานหรือพันธมิตรในท้องถิ่นต่อไป