Skip to main content

    มาราวี: ชีวิตที่ไม่แน่นอนของชุมชนพลัดถิ่นกับโควิด-19

    MSF teams distribute NCD medication, hygiene kit, and leaflets containing preventative measures against COVID-19 to our patients who are displaced. At the Sagonsongan transitory shelter, our team ties to locate our patients' house with the help of camp leaders. © Chika Suefuji/MSF

    ทีม MSF แจกจ่ายยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ชุดดูแลสุขอนามัย และใบปลิวรายละเอียดมาตรการป้องกันโควิด-19 ให้ผู้ป่วยที่เป็นคนพลัดถิ่น ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวซาโกนโซนกัน เจ้าหน้าที่ MSF พยายามปฏิบัติการเชิงรุกในบ้านของผู้ป่วยโดยมีผู้นำค่ายคอยให้ความช่วยเหลือ   © Chika Suefuji/MSF

     มาราวีเป็นเมืองเดียวในฟิลิปปินส์ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ท่ามกลางประชากรทั่วประเทศที่เป็นชาวคาทอลิกเสียส่วนมาก “ตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ชาวเมืองมาราวีปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ด้วยความหวังว่าการปิดชุมชนเพื่อกักกันโรคจะสิ้นสุดลงก่อนเทศกาลถือศีลอด” ชิกะ สุเอะฟุจิ ผู้ประสานงานโครงการขององค์การแพทย์ไร้พรมแดนในมาราวีกล่าว  

    Ajibah Sumaleg, 34, lives in Papandayan District. She is pregnant with her 8th child and had trouble controlling her blood pressure. She comes to the City Health Office for her weekly check-up in Marawi City. ©Veejay Villafranca

    © Veejay Villafranca

    อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศให้ขยายเวลากักกันโรคในชุมชนต่อไป และผู้คนไม่สามารถไปมัสยิดหรือสุเหร่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในช่วงเดือนรอมฎอนได้ ประชาชนบางส่วนค่อนข้างไม่พอใจที่วิถีปฏิบัติในเดือนรอมฎอนปีนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไป  หลายคนตั้งคำถามต่อการตัดสินใจดังกล่าวเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  เราหารือเรื่องนี้กับผู้นำชุมชนและผู้นำทางศาสนาเพื่ออธิบายถึงการแพร่กระจายของไวรัส ซึ่งพวกเขาเข้าใจดีและประกาศขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค  วิธีนี้ช่วยกระจายข้อมูลที่ถูกต้องออกไปเป็นวงกว้างและทำให้ชาวเมืองจำนวนมากยอมปฏิบัติตามมาตรการ โดยรวมแล้วนับว่าผู้คนในเมืองนี้ปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อปกป้องครอบครัวและชุมชน ซึ่งช่วยให้ควบคุมการระบาดของไวรัสในชุมชนได้สำเร็จ  

    แม้ว่าโควิด-19 จะไม่ได้ระบาดร้ายแรงในพื้นที่นี้ แต่ก็เพิ่มภาระให้แก่ชาวเมืองมาราวี เพราะช่วงที่มีมาตรการกักกันชุมชน การไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อรับคำปรึกษาต่างๆ ต้องถูกระงับไป ปัญหาการเข้าถึงน้ำสะอาดที่ไม่เพียงพอก็ทำให้การปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันโรคระบาดยิ่งลำบากมากขึ้นไปกว่าเดิม 

    ผู้ป่วยที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษหากติดเชื้อโควิด-19 ทีม MSF จึงเดินทางไปตรวจเยี่ยมตามบ้านเรือนเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอและแจกใบปลิวเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 รวมทั้งวิธีการป้องกันตัวเองและครอบครัวจากโรคนี้ร่วมด้วย 
     

    The barangay (village) leader (lady with the hat) and MSF staff take a break during our mobile information drive. Our roving vehicle blasts health promotion messages around Marawi City. The tarpaulin reads "stay at home" in Marawi's language, Maranao. ©Gilbert G. Berdon

    ผู้ใหญ่บ้าน (หญิงสวมหมวก) และเจ้าหน้าที่ MSF หยุดพักระหว่างภารกิจให้ข้อมูลเคลื่อนที่ รถขององค์การฯ กระจายเสียงข้อความส่งเสริมสุขภาพไปทั่วมาราวี  ข้อความบนแผ่นป้ายนี้เขียนว่า “อยู่ในบ้าน” ในภาษามาราเนา ภาษาถิ่นของชาวมาราวี  © Gilbert G. Berdon

    เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 (2017)  เมืองมาราวีถูกกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลามเข้ายึดครอง ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นระหว่างกองทัพฟิลิปปินส์และกลุ่มดังกล่าว การเข้ายึดครองเมืองกินเวลานานถึง 5 เดือน และทำให้ประชาชนประมาณ 370,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน  กว่า 3 ปีให้หลัง หลายพื้นที่ในเมืองยังคงอยู่ในสภาพซากปรักหักพัง ชาวเมืองร่วม 70,000 คนยังต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก และอีกกว่า 50,000 คน คาดว่าต้องไปอาศัยอยู่ตามบ้านเรือนของญาติมิตร  ทุกคนต่างมีความทรงจำเกี่ยวกับการเข้ายึดครองเมืองที่ยังคงชัดเจน เช่นเดียวกับอาจิบา สุมาเลก วัย 34 ปี ที่จำได้ดีว่าครอบครัวของเธอต้องละทิ้งบ้านเพื่อหนีภัยการสู้รบโดยได้รับแจ้งล่วงหน้าเพียงไม่กี่วัน และกลับมาพบว่าบ้านกลายเป็นซากปรักหักพังในอีก 5 เดือนต่อมา 
     
    เมืองมาราวีซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองบังซาโมโรมินดาเนามุสลิมทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ มีประชากรประมาณ 200,000 คน เขตดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองตนเองให้เป็นอิสระจากฟิลิปปินส์มากขึ้น และเผชิญปัญหามายาวนานทั้งด้านสาธารณสุขรวมถึงเศรษฐกิจที่เปราะบางมากที่สุดในฟิลิปปินส์  ตั้งแต่การยึดครองเมืองสิ้นสุดลงเมื่อเดือนตุลาคม 2560 (2017) เกิดการระบาดของโรคหัด ไข้เลือดออก และโปลิโอ  ก่อนหน้านั้นสถานการณ์ทางการเมืองในพื้นที่ก็ไร้เสถียรภาพจากการปะทะกันของกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม แต่ประชาชนในพื้นที่ยังมีความหวังว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะนำมาซึ่งเสถียรภาพในระยะยาวและความมั่งคั่งของพื้นที่นี้ได้ 
    ในช่วงแรก ผู้พลัดถิ่นต้องพักอยู่ตามเต็นท์กระทั่งศูนย์ผู้อพยพและศูนย์พักพิงชั่วคราวสร้างเสร็จ ครอบครัวสุดท้ายเพิ่งจะได้ย้ายจากเต็นท์เข้าไปยังศูนย์พักพิงเมื่อเดือนมกราคม 2563 (2020) นี้เอง 

    โซไบดา โคมาดุก วัย 60 ปี เล่าถึงการเสียชีวิตของสามีจากอาการหัวใจวาย ระหว่างที่เมืองกำลังถูกเข้ายึดครอง สำหรับเธอแล้วศูนย์พักพิงไม่ได้ดีไปกว่าเต็นท์สักเท่าไร “เราได้รับคำบอกเล่าว่าศูนย์พวกนี้สร้างขึ้นมาให้ใช้งานได้ 5 ปี คุณคิดว่ารัฐบาลจะสร้างสถานที่ที่ใช้งานได้นานกว่านี้ไหมล่ะ ไม่!” เธออยู่ในมาราวีมาทั้งชีวิตและอธิบายได้เป็นอย่างดีถึงความยากลำบากที่ผู้พลัดถิ่นต้องเผชิญ  

    น้ำขาดแคลน ที่พักชั่วคราวอยู่ไกลจากตลาด และอาหารมีราคาแพง ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนจำต้องพึ่งพาอาหารพร้อมทาน ขณะที่แพทย์ได้แนะนำให้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อใช้เป็นเหมือนยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง


    “การทำอาหารที่มีประโยชน์เป็นเรื่องยาก เราอยู่ห่างไกลจากร้านขายผักและผลได้ หรือต่อให้ไปซื้อมาได้เราก็ไม่มีน้ำสะอาดไว้ล้างผักอยู่ดี” โซไบดากล่าว 

    ปัญหาการเข้าถึงน้ำสะอาดสร้างความยากลำบากให้ผู้คน  ชิกะ สุเอะฟุจิ ผู้ประสานงานโครงการของ MSF ระบุว่า “สภาพความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้น่าวิตก การใช้รถบรรทุกน้ำเข้ามาเสริมช่วยชีวิตคนได้ แต่ก็เป็นแค่มาตรการชั่วคราว ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาในระยะยาว ฉันหวังว่าสิ่งที่ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเหล่านี้ในมาราวีและลาเนาเดลซัวร์ต้องเผชิญจะเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันและนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา  

    ระหว่างการกักกันโรคในชุมชนช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม หลายครอบครัวไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ทำให้พวกเขาต้องเผชิญภาระหนักในการตัดสินใจว่าจะใช้เงินซื้ออาหารหล่อเลี้ยงครอบครัวหรือรักษาโรคให้สมาชิกที่ล้มป่วย 

    Debris and bullet-ridden structures stand as remnants of the 2017 siege led by local groups affiliated to IS in the Islamic city of Marawi, Lanao Del Sur. ©Veejay Villafranca

    ซากปรักหักพังและโครงสร้างอาคารตั้งเด่นเป็นเครื่องรำลึกถึงการยึดครองเมืองเมื่อปี 2560 (2017) ที่นำโดยกลุ่มท้องถิ่นซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม ในเมืองมาราวี ลาเนาเดลซัวร์ © Veejay Villafranca

    แม้กระทั่งก่อนการปิดชุมชนเพื่อกักกันโรค การเข้าถึงระบบสาธารณสุขก็เป็นไปได้ยากเพราะการเข้ายึดครองเมือง มีสถานพยาบาลเพียง 15 แห่งจากทั้งหมด 39 แห่งทั่วมาราวีและพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้นที่ใช้การได้ ส่วนที่อื่นๆ ได้รับความเสียหายหรือเปิดบริการไม่ได้  ทาง MSF ได้เข้าฟื้นฟูศูนย์สุขภาพ 4 แห่งหลังการยึดครองเมืองเพื่อช่วยเหลือชุมชนต่างๆ ในมาราวี และเริ่มจัดหาน้ำสะอาดรวมทั้งให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตแก่ประชาชนร่วมด้วย 
     
    ในปี 2558 (2015) ภายในเขตปกครองตนเองบังซาโมโรในมินดาเนามุสลิม อัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคิดเป็นสัดส่วน 41.5% ของการเสียชีวิตทั้งหมด โดยมีโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานอยู่ในกลุ่ม 10 โรคที่พบมากที่สุด 
     
    ปัจจุบัน MSF สนับสนุนการทำงานของศูนย์สุขภาพ 3 แห่งในพื้นที่ โดยช่วยให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต รักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน รวมถึงจ่ายยาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย  จานัว มังกานาร์ หัวหน้าทีมแพทย์ MSF อธิบายไว้ดังต่อไปนี้ 

    การควบคุมการระบาดของโควิด-19 เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวมาราวี โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในฟิลิปปินส์การเฝ้าระวังและติดตามประวัติการสัมผัสโรคโควิด-19 ทำในระดับชุมชนร่วมด้วย ซึ่ง MSF ร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นได้เริ่มฝึกหัดทีมงานใน 72 เขตของเมืองมาราวีให้ทราบถึงวิธีการสำรวจและติดตามประวัติการสัมผัสโรค รวมทั้งแนวทางการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 การกักกันโรคที่บ้านและเรื่องสุขภาพจิตไปพร้อมๆ กัน  

    ผู้คนในมาราวีเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน การฟื้นฟูพื้นที่ใจกลางเมืองมาราวีที่เสียหายจากการเข้ายึดครองเมืองยังคงเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะจนถึงขณะนี้ยังคงมีสิ่งที่หลงเหลือมาจากสงคราม ทั้งวัตถุระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่และยังไม่ระเบิดและปัจจัยอื่นๆ อีกมาก  คนจำนวนไม่น้อยยังหวังว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกสำหรับอนาคตของพวกเขา แต่ความจริงแล้วคือเกือบ 3 ปีหลังการยึดครองเมืองยุติลง คนจำนวนมากยังคงเป็นคนพลัดถิ่น ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ต้องพักอยู่ในสถานที่พักพิงชั่วคราว หรือบ้านของญาติ โดยไม่รู้เลยว่าสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด 

    ซาราห์ โอรังกากา กล่าวว่าการยึดครองเมืองและโรคระบาดซ้ำเติมความกังวลของชาวเมืองมาราวี  เธอต้องย้ายไปอยู่กับบรรดาพี่น้องอีกครั้งหนึ่งหลังจากสูญเสียร้านค้าเล็กๆในเมืองไป เธอบอกว่า

    “ตอนนี้ฉันยังโอเคอยู่และเราเพิ่งจะยอมรับได้ว่าอะไรเป็นอย่างไร ซึ่งอีกไม่ช้าเราก็จะผ่านมันไปได้”